2553-12-31

ลายมือของผู้มีญาณวิเศษ

ลายมือของผู้มีญาณวิเศษ




คนที่มีญาณพิเศษหมายถึงคนที่รู้อะไรล่วงหน้า
รวมทั้งการ วิเคราะห์เหตุการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ
หรือมีความใกล้เคียง

คนที่มีเส้นเหล่านี้ อาจจะถูกมองว่าเป็นคนงมงาย แต่ความจริงไม่ใช่ 



เพราะอะไรหรือคะ
ก็เพราะว่า....
ศาสตร์ทุกศาสตร์ย่อมมีคุณค่าไม่ควรมองข้ามไป 




คนที่ชอบลบหลู่ ระวังให้ดี
เพราะว่า....
คนที่มีญาณเหมือนเป็นคนของเทพเจ้า....นะคะ








หมายเลข ๑-๑
เป็นเส้นญาณโดยตรง สามารถรู้อะไรล่วงหน้าทั้งอดีต
ปัจจุบันและอนาคต ใครมีเส้นนี้จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์




หมายเลข ๒-๒
เป็นเส้นที่เกิดจากสมองที่โค้งลงสู่เนินจันทร์
ก็จัดว่าเป็นเส้นญาณได้
สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ว่าอะไรจะเกิด


หมายเลข ๓
กากบาทลึกลับ สามารถรับรู้อะไรรวดเร็ว
โดยมีลางบอกอะไรได้ล่วงหน้าและสามารถ
บอกผู้อื่นให้ระวังได้ด้วย …

วิธีฝึกญาณแบบง่ายๆ


วิธีฝึกญาณแบบง่ายๆ
 
                ญาณ คือ ความหยั่งรู้ ถ้าแปลตามตรงจะแปลว่า ชิน ความหมายจึงต้องหาคำตอบว่า หยั่งรู้อะไร ชินอะไร ถ้าเอาง่ายๆ กำหนดลมหายใจ ก็หยั่งรู้ลมหายใจ ชินในลมหายใจ ถ้าฝึกกสินโดยการเพ่งมองวัตถุสีแดง ก็หยั่งรู้ในสีแดง ชินในสีแดง ถ้าอย่างนั้น หยั่งรู้ หรือ ชินแปลว่าอะไร ก็แปลว่า มีสติรับรู้แต่ลมหายใจ หรือสีแดงที่เพ่ง (จ้อง) ไม่รับรู้ถึงอย่างอื่น
                ทำอย่างไรญาณจึงเกิด เมื่อความรู้สึกชิน หรือหยั่งรู้เกิดขึ้นด้วยอำนาจสติเพียงฝ่ายเดียว ปราศจากการรับรู้ในเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น เช่น หายใจเข้าลมกระทบที่จมูกสติก็รับรู้ว่าลมกระทบที่จมูก จากนั้นลมไปกระทบที่อก สติก็รับรู้ว่าลมกระทบที่อก จากนั้นลมไปกระทบที่ศูนย์กลางเหนือสะดือ สติก็รับรู้ว่าลมไปกระทบที่ศูนย์กลางเหนือสะดือ สติแม้รับรู้ว่าหูได้ยินอะไร จมูกได้กลิ่นอะไร ก็ไม่ยอมสนใจที่จะรับรู้เพราะสติสนใจแต่เพียง ลมหายใจที่กระทบเท่านั้น จนในที่สุดสติก็รับรู้เพียงแค่ลมหายใจแต่อย่างเดียวจนชิน ญาณจึงเกิด

                ข้อสังเกตที่ญาณเกิด คือ
1. อารมณ์เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เราทำสมาธิอยู่
2. เกิดความรู้สึกอารมณ์เป็นสุข ไม่อยากออกไปจากสิ่งที่เราสนใจอยู่ในขณะนั้น
3. เกิดความรู้สึกรับรู้เพียงแต่สิ่งที่เรากำหนดเป็นสมาธิเท่านั้น ถ้ากำหนดการหายใจ ก็รับรู้ว่าลมหายใจนั้นสั้นหรือยาว เป็นต้น
4. ถ้ามีคำภาวนาก็จะรับรู้ในคำภาวนา เช่น คำภาวนานั้นสั้น หรือ ยาว เช่น หายใจเข้าว่า พุธ ก็รู้สึกคำว่าพุธยาวหรือสั้น เป็นต้น
5. มีชัยนะเกิดขึ้น เรียกว่า ปิติ ซึ่งต่างจากข้อ 2 ที่อารมณ์เป็นสุข ในสุขคืออารมณ์ในใจไม่เกี่ยวกับ อารมณ์ทางกาย ถ้าอารมณ์ทางกาย เรียกว่า ปิติ จะมีอาการแสดงออกทางกาย เช่น ตัวโยกคลอน น้ำหูน้ำตาไหล เป็นต้น ให้สังเกตุ

                ง่ายๆ ว่ามีการแสดงออกทางกายเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้บังคับมันก็เกิดขึ้นมาเอง แต่ถ้ารู้สึกอารมณ์ทางใจเรียกว่า สุข ถ้ามีการแสดงออกพร้อมกันทั้ง 5 อย่างนี้ เรียกว่า ญาณได้เกิดขึ้นมาแล้ว

                วิธีการฝึกสมาธิให้เกิดญาณ
1. ก่อนฝึกสมาธิให้คิดก่อนว่าเราจะกำหนดรับรู้อะไร ให้ยึดเอาสิ่งนั้นมาฝึก และฝึกจนกว่าจะสำเร็จ อย่าเปลี่ยนการกำหนด เพราะจะต้องเป็นการเริ่มต้นใหม่
2. สิ่งที่เราจะเอามากำหนด ต้องดูก่อนว่าเราชอบแบบไหน ถ้าชอบความสวยงาม ให้เพ่งรูปศพ เรียก อสุภะกรรมฐาน ถ้าชอบโกรธ ชอบพยาบาท ให้เพ่งวัตถุสีแดง เรียกว่าให้เอาสิ่งตรงข้ามกับความรู้สึกที่ชอบมาเป็นตัวกำหนดสมาธิ
3. เมื่อฝึกครั้งแรกจะนั่ง จะนอน จะเดิน จะยืนก็ไม่ต้องไปสนใจ ชอบท่าไหนเอาท่านั้น
4. กำหนดครั้งแรกอย่าเพิ่งกำหนดสมาธิสู่สิ่งทีตนเองจะฝึก ให้คิดก่อนว่า ตอนนี้เรากำลังโกรธใครอยู่ไหม จากนั้นให้ละจากสิ่งนั้นออกมาก่อน ถ้าละออกมาไม่ได้ก็อย่าเพิ่งฝึก
5. จากนั้นให้คิดต่อไปว่าเรากำลังหลงอะไรอยู่ไหม ถ้าหลงอยู่ให้ละออกมาจนกว่าจะได้ ถ้าไม่ได้อย่าฝือนฝึก
6. จากนั้นให้คิดต่อไปว่าเรากำลังง่วงนอนไหม อ่อนเพลียไหม อดทนได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเพิ่งฝึก
7. จากนั้นให้คิดต่อไปอีกว่าสิ่งที่เราจะฝึกนี้ คือ สมาธิ ใครเป็นอาจารย์ อาจารย์คือพระพุทธเจ้า เราต้องมีศรัทธา มีความเคารพ ถ้าปรามาทแล้ว หรือไม่เคารพก็อย่าฝึก
8. จากนั้นให้คิดต่อไปว่าสิ่งที่เราจะฝึกนี้ เรียกว่า ญาณสมาธิ มันมีอยู่จริง ถ้าคิดว่าเป็นเรื่องเท็จก็อย่าฝึก
9. จากนั้นให้ทำใจให้ว่าง ตั้งสติโดยคิดว่า ต่อแต่นี้เราจะสนใจอยู่ที่สิ่งที่เราจะฝึกสมาธิเท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นก็ตามแม้ตัวตายไปก็จะไม่สนใจในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่สิ่งที่เราฝึกเลย
10. เมื่อตั้งสติได้ตามข้อ 9 แล้วให้กำหนดภาวนาในสมาธินั้นแต่อย่างเดียว อย่าสนใจเรื่องอื่น
 

               
                ปัญหาเกิดเมื่อขณะฝึกไม่เกี่ยวกับนิวรณ์ 5
1. อารมณ์ซ่านออกไปสนใจเรื่องอื่น ไม่ยอมรับรู้สิ่งที่เรากำหนดภาวนา วิธีแก้ ให้เราหยุดภาวนา และหยุดสนใจสิ่งรับรู้อื่นนั้น แล้วหายใจลึกๆ แล้วท่องว่า ว่าง หรือ หยุด จนเมื่อสมองโล่ สติมาอยู่กับตัวแล้วให้กำหนดองค์ภาวนานั้นต่อ
2. เกิดภาพแปลกๆ เกิดนิมิตรแปลกๆ ภายในใจ จนทำให้ไม่สนใจในองค์สมาธิ ข้อนี้รวมทั้งอาการสุขทางใจ หรือ ปิติทางกาย เกิดขึ้นด้วย วิธีแก้ให้เลิกสนใจในอาการที่เกิดนอกเหนือจากองค์ภาวนา เช่น ภาพนิมิตรเกิดขึ้น เราต้องคิดว่ามันจะหายไปก็ช่างมัน มันจะเกิดก็ช่างมันเราไม่สนใจ ไม่เอาจิตไปรับรู้มัน หรืออาการปิติรู้สึกตัวจะลอยขึ้นชนเพดาน เราก็คิดว่าจะชนก็ช่าง เราจะตายก็ช่าง เราไม่สนใจ มากำหนดองค์ภาวนาต่อ

                เมื่อสำเร็จตามนี้เรียกว่าเข้าสู่ ปฐามญาณ หรือ ญาณขั้นที่ 1 อย่าไปคิดว่าเราสำเร็จแล้ว ได้ดีแล้ว เพราะความจริง คนอื่นเขาสำเร็จกันเยอะ และเป็นแค่ปฐมญาณ ยังมีญาณขั้นสูงกว่านี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า.. ให้ฝึกต่อไปจนกว่าจะชิน จนเป็นวสี แปลว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน สถานที่ไหน แค่เรากำหนดภาวนา เราก็เข้าองค์ญาณได้ทันที เดี๋ยวนั้น ไม่ต้องใช้เวลาเท่านั้น เท่านี้ เพื่อให้จิตเรารับรู้แต่องค์ภาวนา


บทสวดแก้โสด

บทสวดแก้โสด

ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างก็ไม่รู้ด้วยคำสัญญาเช่นเราจะรักกันทุกชาติไป
โดยหารู้ไม่ว่ากรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกันชาติภพใหม่ก็เลยแตกต่างกันไป
แต่คำมั่นที่สาบานยังอยู่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุณยังเป็นโสดจนทุกวันนี้
ลองสวดมนต์บทนี้ดูอาจจะดีขึ้นนะคำขอขมาและอธิษฐานจิตอธิษฐานหน้า
พระพุทธรูป หรือสวดก่อนนอนก็ได้

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ)

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตังสัพพัง
อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต
หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกิน บิดา-มารดาครูบาอาจารย์
พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้าตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณและท่านเจ้ากรรมนายเวรจะด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี ขอ
ได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยหากข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมา ขออนุญาติ
มีคู่มีครอบครัวได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่
ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูก ที่ชอบ
ที่ควรขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและ
ครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สุข
สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆ โรคภัยใดๆขอให้มลาย
สิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่างทั้งทางโลกทางธรรมตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระ
นิพพานเทอญ หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้าไม่ว่าจะชาติใดภพใด
ก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอ โหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาทความอาฆาตและคำสาป
แช่งในทุกชาติ ทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชน ของเจ้ากรรม
นายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลกทางธรรมเทอญ คนเราเกิดมา
หลายภพหลายชาติแต่ละคนมี เจ้ากรรมนายเวรที่แตกต่างกันการสวดขอขมาเพื่อ
ลดและปลดหนี้กรรมให้น้อยลงขอ ผู้ได้รับใบคำขอขมาและอธิษฐานจิตนี้

คาถารักแท้ (อมลูกอม แล้วท่องขณะคุยกับคนรัก)

คาถารักแท้ (อมลูกอม แล้วท่องขณะคุยกับคนรัก)

โอมนะโมพุทธายะ พุทธังสะระติ ธัมมัง สะระติ สังฆัง
สะระติ จิตตังสะมาเรมะมะเอทิ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะยา
พะหูชะนา เอหิ

คาถาเรียกความรัก

คาถาเรียกความรัก

นะโมตัสสะภะวะคะโต อะระหะโต
สัมมา สัมพุทธัสสะ (กล่าว 3 จบ)

สัคเค กาเม จะรูเป คิริสิขะระตะเฏ
จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฎเฐ จะคาเม
ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิเขตเต
ภุมมาจายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม
สุณันตุ ธัมมัสสะวะนะกาโล
อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล
อะยัมภะทันตา ธัมมัสสะวะนะกาโล
อะยัมภะทันตา ฯ

โอม ระ รึง กำลัง จังหัง สะ วะ หะ
(กล่าว 7 รอบ)

นะโมพุทธายะ ขอชนะใจ......(เอ่ยชื่อคนที่เราชอบพอ)

คาถามัดใจ

คาถามัดใจ
(ใช้สวดก่อนนอน ทำให้คนรักคิดถึง)

พุทธัง รัตตะนัง ธัมมัง รัตตะนัง สังฆัง รัตตะนัง
นะผูก โมมัด พุทรัด ธารึง ยะกรึงคะเร โอมสวาหะ

คาถาเรียกคู่

คาถาเรียกคู่?ไปเจอมาดูแล้วน่าสนใจครับ เอ้าๆๆๆๆๆคนไม่มีคู่หาอยุ่หรืออยากมี รับไปดำเนินการจะได้สมหวังซะที

"โอมจิตตัง พันธัง เอหิเอหิ สะมาคะโม
นะมะพะทะ นะมะพะทะ
มะอะสุวัง พรหม มาจิตตัง (ใส่ชื่อคนที่เราต้องการหรือรัก) มานิมา"

เอารูปเขาใส่ไว้ใต้หมอน ภาวนาทุกคืนไม่เกิน 7 คืนเขาคนนั้นจะมาหาเรา 

2553-12-26

เกี่ยวกับคน แซ่ปัง

แซ่ต่างๆที่ได้ยินชื่อ แซ่ที่คนใช้เยอะๆหรือแซ่"โหล"ยกบางแซ่ที่ได้ยินบ่อยๆนะครับ

張 แซ่เตีย เตียว
趙 แซ่เตีย เตียว
林 แซ่ลิ้ม ลิมป...
陳 แซ่ตั้ง ตั้ง... ด่าน...
劉 แซ่เล่า เหล่า...
李 แซ่หลี่ ลี...
文 แซ่เหวิน บุ๋น บุญ... บุณย...
黃 แซ่หวง อึ้ง... เหลือง...
洪 แซ่หง หง...
梁 แซ่เหลียง เรือง...
楊 แซ่หยาง เอี้ย เอี่ยม... เอื้อ...
周 แซ่จิว จิร...
潘 แซ่พาน
彭 แซ่แปง
曾 แซ่จั่น จั่น...
詹 แซ่เจียม
鄭 แซ่แต้ เตชะ... เดช...
韓 แซ่หาน หาญ...
馮 แซ่ปัง
王 แซ่เฮ้ง หวัง...
馬 แซ่หม่า อัศว...
鄧 แซ่เต็ง ตัง...
丁 แซ่เต็ง
胡 แซ่โอ๊ว โอ...
嚴 แซ่เหงียม
姚 แซ่เหยา เอี่ยว... เอี้ยว...
姜 แซ่เกียง
杜 แซ่โต
蘇 แซ่โซว
徐 แซ่ซื้อ เชื้อ... ซื้อ...
佘 แซ่อื้อ
吳 แซ่โง้ว
方 แซ่ปึง
沈 แซ่ซิ้ม สิมะ...
莊 แซ่จึง จึ่ง...
鍾 แซ่จง จง...
許 แซ่โค้ว
邱 แซ่คู...
馮 แซ่ปัง
何 แซ่ฮ่อ
高 แซ่กอ ก่อ...
古 แซ่โก
盧 แซ่หลู โล...
呂 แซ่ลื้อ ลือ...
金 แซ่กิม สุวรรณ...
廖 แซ่เลี่ยว
蕭 แซ่เซียว เชี่ยว...
謝 แซ่เจี่ย เจียร...
蔡 แซ่ฉั่ว ไชย...
孫 แซ่ซุน ซึง...

นี่คือแซ่บางส่วนที่พบในเมืองไทย และเป็นแซ่ยอดฮิตที่คนนิยมใช้

ซึ่งแซ่ทั้งหมดทั่วประเทศจีนมีมากกว่า100แซ่ เพราะคนจีนทั่วโลกแซ่เหมือนกันเยอะมากๆ บางคนชื่อ-แซ่เหมือนกันก็มี แล้วแซ่เดียวกันก็ไม่ได้เป็นญาติกันเสมอไป เป็นญาติที่ห่างงงงงงงงงงงงงงงง........มากกก....

เล่าปี่劉備 ก็ไม่ได้เป็นอาพระเจ้าเหี้ยนเต้獻帝 ไม่ได้เป็นน้องพระเจ้าเลนเต้靈帝 แต่ยังอาศัยแซ่เดียวกันไปเที่ยวอ้างตัวกับคนอื่นที่ไปคบหา ว่าคือพระญาติกับฮ่องเต้...........คนแซ่เล่าในสมัยสามก๊ก มีทั่วเมืองจีน

2553-12-11

เก็บกระดูกในคอนโด (วิชัย ไพศรีสกุล ) ณ วัดราษฎร์นิมิตรศรัทธาธรรม (วัดหนองปรือ)














ความหมายของการทำบุญครบ 100 วันตาย

ทำไมต้องทำบุญ 100 วัน
การตายแบบนี้ ตายแล้วก็ไปรอลืมภพลืมชาติอยู่ในโลกของวิญญาณก่อน 108 วันตามเวลาของโลกมนุษย์ โบราณเขาจึงจัดให้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กัน 7 วันบ้าง 50 วันบ้าง 100 วันบ้าง เพราะคนโบราณเขารู้และมีประสบการณ์ เชื่อว่าวิญญาณของคนตายยังไม่ไปไหน เมื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ในช่วงนี้ วิญญาณจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลกัน เมื่อวิญญาณลืมภพลืมชาติไปแล้ว วิญญาณก็จะไปเสวยผลบุญหรือผลกรรมที่ได้กระทำกันไว้ต่อไป
คนที่ตายเพราะหมดภพหมดชาติหรือหมดกรรม เป็นการตายตามกรรมกำหนด วิญญาณช่วงที่ยังอยู่ในโลกวิญญาณเพื่อรอให้ลืมภพลืมชาติ จึงยังมีสิทธิและโอกาสที่จะไปเยี่ยมญาติพี่น้อง สามี ภรรยา ลูก หลานและเพื่อนฝูงได้ตามที่จิตต้องการ แม้การไปเยี่ยมเยียนครั้งสุดท้าย ฝ่ายมนุษย์จะต้องมองไม่เห็นทางวิญญาณ ก็สามารถทำเหตุบอกให้มนุษย์รู้ได้ว่าเขามาหาแล้ว เช่น มาปรากฎตัวให้เห็น หรือทำให้มีกลิ่นเหม็นหรือหอมไปกระทบจมูกของคนที่วิญญาณเขาต้องการไปหา
ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยได้สังเกตกันไหม เวลาที่มีญาติหรือคนที่เรารักตายไปใหม่ๆ แล้วเรามานั่งพูดถึงเขากันที่บ้าน ทั้งๆที่เขาตั้งศพสวดกันที่วัด และอยู่ๆก็มีกลิ่นเหม็นๆมากระทบจมูก นั่นแหละวิญญาณของคนที่กำลังพูดถึงเขามาหาแล้ว หากใครได้เจอปรากฎการณ์ดังกล่าว ให้รีบกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เขาเสียในตอนนั้นเลยจะดีมาก
เมื่อพูดกันมาถึงตรงนี้ อาจมีบางท่านสงสัยว่า ทำไมญาติของเขาตายไปแล้วไม่เห็นมาเข้าฝันเขาบ้างเลย เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวิญญาณของคนที่เราต้องการให้เขามาเข้าฝันเขาไปแล้วน่ะซิ จะไปผุดไปเกิดหรือไปรับผลบุญผลกรรมบนสวรรค์ นรกอะไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง
บางวิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิดหรือไปรับกรรมดี กรรมชั่วอะไรในนรกสวรรค์ แต่หลงล่องลอยไปในที่ต่างๆจนลืมถิ่นฐานของเขาก็มี เลยทำให้ไม่ได้มาบอกกล่าวหรือเข้าฝันเรา ดังนั้นท่านที่มีญาติพี่น้องหรือคนที่เราเคารพนับถือตายไปแล้วไม่มาเข้าฝันเราเลย ก็อย่าไปคิดอะไรมาก คิดเสียว่าท่านเหล่านั้นได้ไปเกิดหรือไปเสวยสุขบนสวรรค์ก็ได้ หากเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะไปลำบาก ก็สร้างบุญ ทำกุศลกรวดน้ำไปให้เขาบ่อยๆ ซิครับ
เห็นหรือยังว่าการตายก่อนกำหนดนั้น มันไม่ได้ทำให้หมดทุกข์หมดปัญหาเหมือนอย่างที่เข้าใจกัน มีแต่จะยิ่งเพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ให้กับวิญญาณมากยิ่งขึ้นไปอีก ขนาดเรายังเป็นๆหรือมีชีวิตอยู่ เรายังลำบาก เรายังได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย ตอนเรายังไม่ตาย เรายังสามารถช่วยตัวเราให้ลดความทุกข์ต่างๆได้ เช่น ไปสร้างบุญทำกุศล รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เวลาหิวก็พอจะดิ้นรนหามากินเพื่อบรรเทาความหิวกระหายได้ แต่ตอนเราตายไปเป็นสัมภเวสีนี่สิ มันลำบากและอดอยากกว่าตอนที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่มาก
เรื่องของกรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แล้วแต่ภูมิปัญญาบารมีของใครจะละเอียด สามารถเข้าใจเรียนรู้ได้หมด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงการให้ผลของกรรมเปรียบเสมือน โคที่ถูกต้อนเข้าคอก ตัวแล้วตัวเล่าที่เข้าคอกไปจนถึงตัวสุดท้ายที่อยู่ปากคอก ครั้นถึงเวลาปล่อยวัวออกจากคอก วัวตัวที่มันอยู่ปากคอกก็จะได้ออกก่อน
กรรมของคนเราก็เหมือนกัน กระทำทุกอย่างไปไม่ว่าจะดีหรือจะเลว พอใกล้วินาทีสุดท้ายของชีวิต จิตไปผูกพันอยู่กับสิ่งใดหรือทำความชั่วความไม่ดีอะไรในตอนนั้น กรรมตัวที่กำลังจะตาย จะให้ผลก่อนหลังจากตายลง
ทางพระท่านว่าอสัญกรรมให้ผลก่อน ฉะนั้นคนที่ฆ่าตัวตายด้วยจิตเป็นทุกข์ จึงเชื่อว่าจิตที่เป็นทุกข์หรือมีแต่ความชั่วของเขานั้น ขณะวินาทีสิ้นใจเขาจะไม่เป็นสุขแน่ สรณะที่พึ่งก็ไม่มี แม้แต่ก่อนตายยังไม่หาที่พึ่ง แล้วอะไรล่ะจะเป็นที่พึ่งเป็นเสบียงในยามนั้น อนิจจา…วิญญาณต้องร่อนเร่พเนจร อดๆอยากๆและหิวโหยแสนสาหัส ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบได้
บางครั้งสัมภเวสีพวกนี้ ร่อนเร่พเนจรไปสร้างกรรมทำเวรเพิ่มขึ้นด้วยการเข้าไปแทรกสิงอยู่ในตัวของมนุษย์ที่วิบากกรรมกำลังส่งผลอยู่ให้ตกต่ำเดือดร้อนต่างๆนานา บางคนก็คลุ้มคลั่งเสียสติไปเลย มีไม่น้อยที่ไปคอยกลั่นแกล้งทำให้สามีภรรยาเขาเลิกกัน หรือไม่ก็พรางหูพรางตาให้เขาค้าขายไม่ดี หรือไม่ก็ไปทำให้มนุษย์เขาเจ็บป่วย รักษากันเท่าไรไม่หาย เป็นต้น
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ขณะมีชีวิตอยู่อย่าประมาท จงสร้างกุศลไว้ให้มาก เพราะมันจะเป็นเสบียงเดินทางและพาสปอร์ตไปสู่สวรรค์ชั้นดีๆเมื่อความตายมาถึงจะได้ไม่ลำบาก และไม่ต้องอดอยากหิวโหย
ชีวิตของคนเรามันช่างสั้นนัก เมื่อเกิดมาแล้วใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในโลกนี้ เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ต้องจากไป ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้เชยชม นอกจากชื่อเสียงคุณงามความดีและบุญกุศลที่สร้างสะสมเอาไว้ เมื่อเราเกิดมากับเขาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ควรทำคุณงามความดีและบุญกุศลเอาไว้ให้มากๆ นรกสวรรค์จะมีจริงหรือไม่จริงเราก็ยังไม่รู้ เพราะดวงตาของเรามืดบอดสนิทด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้
เพราะฉะนั้นการทำคุณงามความดี เราไม่ต้องไปหวังว่าไม่ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ เราทำความดี เพื่อความดี เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นพ้นจากความชั่วได้ก็พอ
ผลของการทำคุณงามความดี ทำให้ผู้ทำสบายใจ มีความสุข และที่สำคัญทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีความสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อานิสงส์ของการทำความดี เราจะเห็นได้ด้วยตาของเราเองภายในชีวิตนี้นี่แหละ
ในช่วงชีวิตของเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ต่างก็ได้ประสบพบเห็นดี ชั่ว ต่างๆมามากมาย ดีบ้าง เลวบ้าง ไปตามวิถีชีวิตของคนแต่ละคน ทุกคนต่างก็ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพบแต่สิ่งดีๆในชีวิตของตนเองทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากจะพบ อยากจะเจอสิ่งที่เลวร้ายในชีวิตของตนเอง แต่เราก็เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลพวงมาจากกฎแห่ง

กรรมทั้งสิ้น


ที่มา.. http://www.kittinun.com/view.asp?id=663