2556-08-29

ความคิดเห็น / การทำพลีแก่เทวดาตามที่พุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผลใช่การเอาของไปตั้งไหว้เปล่า

ผมส่งสัยว่าการทำพลีแก่เทวดาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเพราะว่ามันมีผลการกระทำคือการเอาของไปตั้งไหว้แบบไหว้เจ้าของคนจีนหรือเปล่าแล้วเทวดาเหล่านั้นเอาของไปได้ไงถ้าไม่ใช่การอนุโมทนาบุญยังฝากท่านผู้รู้ทุกท่ายช่วยแถลงไขทีขอขอบคุณล่วงหน้าเลยครับแล้วถ้าความเข้าใจผมผิดยังไงเรียกว่าการทำพลีแก่เทวดาที่ถูกต้องครับ


(Weerapong)  IP Address : 203.170.141.181
 ที่จริงเรื่องนี้ผมไม่อยากจะนำเสนอเท่าไหร่นะครับ เพราะมีคนต่อต้านเรื่องนี้ค่อนข้างมาก (ท่านที่ไม่เชื่อก็ถือว่าอ่านดูเล่นๆก็แล้วกัน) ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะว่าไม่เข้าใจศาสน์เรื่องเทวดา เรื่องการบูชาสักการะ  ที่คนจีนเขาทำนะก็ใช่  ที่คนไทยไหว้เจ้าที่ก็ใช่  การบวงสรวงในพิธีต่างๆก็ใช่    เวลาเรากล่าวคำถวายหรือบางครั้งแค่นึกในใจ อาหารทิพย์ก็ปรากฎ  เทวดา ยักษ์ ฯลฯ ก็สามารถมาเสพอาหารทิพย์เหล่านี้ได้  จะเห็นได้ว่าคนจีนจะทำกันอย่างเคร่งครัดและก็เกิดความอุดมสมบูรณ์ในการทำมาหากินดี คนไทยก็มีความเชื่อแต่ส่วนใหญ่แล้วบูชากันไม่ค่อยถูกยกเว้นบางพื้นที่เท่านั้น  แม้แต่ห้องพระในบ้านเราบางทีเราไม่เคยถวายอะไรเลย รู้ไหมว่าในองค์พระนะมีเทวดารักษาประจำอยู่ ถ้าเราทำไม่ดีหรือไม่เคยบูชาเลยเทวดาก็ไม่มีพลัง  เราอธิษฐานอะไรก็ไม่เกิดผลเพราะเราไม่เคยให้อะไรเขาเลย(อย่าลืมว่าเทวดายังไม่หมดกิเลสนะครับ)  แค่สวดมนต์ไหว้พระแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลบางทีก็ไม่เพียงพอหรอก  ถ้าไม่ดีพอแม้แต่เชิญเทวดาเขายังไม่มาเลย  ผมเคยสังเกตดูเวลาพระท่านเชิญเทวดา เขามาตามบารมีของผู้เชิญ พระบางรูปมีบารมีมาก เชิญเทวดาเขามาเป็นหมื่นจักรวาล   พระบางองค์เชิญเทวดาไม่มาแม้แต่องค์เดียว ก็ได้แต่สวดสักเคฯไปอย่างนั้นแหละ 
         การที่เราจะทำบุญกุศลให้เทวดาเขาอนุโมทนานี่ไม่ใช่ของง่ายนะครับ ต้องทำกองบุญนั้นอย่างถูกต้องจริงๆเขาถึงจะอนุโมทนา  แม้แต่ที่เราทำกฐินกันนี่จะมีกฐินสักกี่กองในโลกนี้ที่เทวดาเขาอนุโมทนา บางทีเขาอาจจะมาในงานกฐินจากการกล่าวเชิญแต่ก็ไม่ได้อนุโมทนากองกฐินที่เราทำกัน   ส่วนใหญ่ก็จะได้อานิสงค์เป็นทาน ไม่ถึงกฐินครับ เพราะยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องมีในการทำกฐิน ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยโบราณ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่าผู้รับผ้ากฐินได้จะต้องเป็นผู้บรรลุคุณธรรม 8 ประการ  แล้วเราจะไปหาที่ไหน? เป็นต้น
         ขอจบแค่นี้แล้วกันนะครับ หลายท่านคงปั่นป่วนมากแล้วเพราะขัดกับความเชื่อที่เคยศึกษามา  ถ้าจะให้เข้าใจได้จริงๆก็ให้ปฎิบัติ จนถอดกายทิพย์ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันครับ สัมผัสเทวดาประจำตัว ทำจิตให้เข้าสู่โลกทิพย์ให้ได้ก่อน  แล้วจะเข้าใจมากขึ้น บางทีมันยากตรงที่บางคนเข้าถึงบางคนก็เข้าไม่ถึง ความเข้าใจจึงไม่ตรงกันครับ




ครูบาอาจารย์อย่างน้อย ๒ ท่าน เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการทำงานของเทวดา ที่จริงรายละเอียดมีมากมาย เช่นการประชุมกันของเทวดาที่เทวสภา  เทวดาก็โดนแดดโดนฝน  เทวดารักษาพระพุทธรูป/พระเครื่อง ฯลฯ พวกยักษ์  พวกนาครักษาทรัพย์ ตามทวงสมบัติ เช่นของบางอย่างในภาคมนุษย์ไม่ค่อยจะมีค่าเท่าไหร่แต่ในภาคทิพย์มีค่ามาก เราเอาของเขามาโดยไม่รู้ บางทีก็เจ็บป่วยเดือดร้อนเป็นต้น แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร(การเจ็บป่วยมีหลายสาเหตุแต่บางคนก็เจ็บป่วยเพราะสาเหตุเหล่านี้)   ที่อันตรายมากก็เห็นจะเป็นพวกสมบัติศาสนา เช่นพระพุทธรูป เครื่องทองคำเป็นต้น ถ้าเราเอามาเก็บไว้โดยไม่รู้ก็เป็นบาปเช่นกัน ของบางอย่างมีอาถรรพ์ หรือบางทีคนโบราณเขาสาปแช่งไว้ เช่นพระกรุพระธาตุพนม กรุฮอด ฯลฯ ใครเก็บไว้เป็นสมบัติของตนเดือดร้อนทุกราย(เป็นกรรมกับเทวดารักษาทรัพย์) ถ้าไม่เชื่อลองถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์พระธาตุพนมล้มดูสิ ช่วงนั้นชาวบ้านมาแอบเอาพระหรือทรัพย์สมบัติกันมาก ปรากฏว่ามีการตาย เจ็บป่วยต่างๆนานา รีบเอาของกลับมาคืนแทบไม่ทัน นั่นละเป็นอำนาจเทวดารักษาทรัพย์เขาทำหน้าที่ของเขา
               จุดเริ่มต้นความสนใจของผม ส่วนใหญ่แล้วผมไปพบเจอเหตุการณ์เหล่านั้นโดยบังเอิญจากการทำสมาธิ หรือจะพูดว่าการถอดกายทิพย์ก็ได้  แล้วก็แสวงหาคำตอบในหลายๆเรื่องกับท่านที่มีความรู้ทางด้านนี้ แล้วเอามาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน     ผมคิดว่าเหมือนกับการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องเชื้อโรคนั่นแหละ แต่ในที่นี้เราใช้จิตแทนกล้อง สิ่งที่มันมีอยู่ก็ยังคงมีอยู่อย่างนั้น พระอริยะเจ้าจิตท่านเป็นกล้องวิเศษได้มากกว่าเรา ท่านจึงให้คำตอบได้ละเอียดกว่า  สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอยู่  ผมก็ยังต้องเชื่อว่ามีอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งแน่นอน
           แม้แต่ของบางอย่างเทวดาเขาก็จำกัดสิทธิในการสร้าง ต้องเป็นบารมีของผู้ที่สร้างบารมีมามากถึงจะได้สิทธิ  ยกตัวอย่างเช่น พระแก้วมรกตทองคำ หน้าตักสัก ๙ นิ้ว ถ้าพระหรือบุคคลผู้ใดสร้างได้สำเร็จ ผมจะรีบไปกราบแทบเท้าเลยครับ  ใครจะลองทดสอบบารมีตัวเองลองดูได้ครับ  มีเงินก็มิใช่หมายความว่าจะทำได้สำเร็จนะครับ  ถ้าไม่มีบารมีพอ ผมเข้าใจว่าตายแน่เลยครับ บางทีการทำบุญเกินบารมีตัวเองก็ทำให้ตายได้นะครับ อำนาจบุญบันดาลให้ไปเสวย ตายแล้วไปดีครับแต่ทำบารมีต่อไม่ได้   ดังนั้นที่โบราณท่านว่าอย่าสร้างอุโบสถ วิหาร พระใหญ่ ฯลฯ คนเดียว เพราะอันนี้เป็นการทำบุญที่เป็นเหตุให้ตายได้ จะทำบุญใหญ่ต้องรู้จักวิธีการทำ  เขตบุญบางที่แม่ธรณีไม่รองรับบุญ ถ้าเราทำบุญในเขตนั้นก็จะเป็นโมฆะไม่ได้บุญ เนี่องจากเทวดาไม่บันทึก เช่นเขตวัดที่ชายหญิงแอบไปมีอะไรกันในเขตพัทธสีมา เป็นต้น  ภาคทิพย์แผ่นดินจะแหว่งไม่ต่อกันกับเขตของแม่ธรณีที่ท่านรองรับกองบุญ เทวดาในเขตวัดนั้นก็จะหนีหมดเช่นกัน
          หลายท่านอาจจะมองว่าผมอาจจะเดินผิดทางพุทธศาสนาแล้วก็เป็นได้ แต่ในมุมมองของผมแล้วธรรมะบางอย่างจำเป็นต้องใช้อายตนะภายในไปทำความเข้าใจ การเรียนธรรมะด้วยจิต ในภาวะที่ไม่มีธาตุ ๔ เข้าไปเกี่ยวข้อง(ภาคทิพย์) บางครั้งก็เข้าใจได้ไว ความลังเลสงสัยในคำสอนน้อยกว่าการเรียนธรรมะในสภาวะทั่วไป  ถ้าไปเจอสิ่งที่มีในพระไตรปิฎกแต่ไม่สามารถไปรู้ไปเห็นได้ก็สงสัยอยู่ตลอดเวลา หรือว่าจะเชื่อโดยที่ตัวเองพิสูจน์ไม่ได้ (ก็ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ) ลองนึกดู    ถ้าเราไปทำบุญแล้วก็บอกว่าบุญเกิดแล้วที่จิต จิตใจสบายปลอดโปร่ง ผมก็ถามเล่นๆว่าเวลาตายไปมีใครเป็นพยานให้ละว่าคุณได้ทำบุญไว้ มีหลักฐานอยู่ที่ไหน กองบุญคุณอยู่ที่ไหน มีกี่มากน้อย เป็นต้น
             ต้องขออภัยที่ทำให้บางท่านสับสนกับความเชื่อเดิมของท่าน ผมเชื่อว่าศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านให้พิสูจน์ได้ การปฎิบัติธรรมนั้นปัจจัตตังของแต่ละคนเทียบกันไม่ได้ครับ



ครับ ก็รับฟังความคิดเห็นจากทุกท่าน  ท่านที่ทำไปถึงภาคทิพย์ได้ลองไป"สำรวจ"ดูว่าที่ผมเล่ามานั้นเป็นจริงหรือไม่  ขณะถอดกายทิพย์ออกไปนะถ้าเป็นของจริงสามารถรู้ขณะออก ขณะเข้าร่างได้ว่าเป็นอย่างไร  พอชำนาญแล้วบางทีหลับตาพอสงบมิติของจิตก็เปลี่ยนแล้ว บางครั้งขณะขับรถจิตสงบระดับหนึ่งก็สามารถรู้เห็นเหตุการณ์บางอย่างได้ในชั่วขณะจิตเดียวเหมือนพลิกฝ่ามือ รู้ เห็น เข้าใจอยู่ที่จิตนั่นแหละ แล้วก็กลับมาอยู่ในสภาวะปกติเหมือนเดิม
              รวมทั้งท่านจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาเรียกว่า "ญาณ" เขาไม่ได้ตั้งชื่อมาเล่นๆนะครับ ไปดูสิภาคทิพย์มี "ญาณ"จริงๆ  ที่สำคัญก็คือหาทางหรือวิถีจิตของตัวเองให้เจอ ว่าวิถีจิตของตนเองเป็นแบบไหน แล้วปฎิบัติตามแนวนั้น ถ้าได้ทางของตัวเองแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ยาก  แต่ถ้าเราปฎิบัติเพื่ออยากรู้ อยากเห็น อยากนั่น อยากนี่ จะเข้าถึงเรื่องพวกนี้ได้ยากมาก จริงๆแล้วจะมีสิ่งมา"สอบ" หรือ "หลอก" นักปฎิบัติในหลายๆลักษณะโดยเราไม่รู้ตัว ถ้าหากผ่านได้ก็มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ ถ้าผ่านไม่ได้วิถีจิตก็วนเวียนอยู่แบบนั้น  ส่วนใหญ่แล้วสิ่งต่างๆมาทดสอบกิเลสเรานั่นแหละ บางครั้งในภาวะที่เรามีสติพร้อมเราก็อาจสู้กับกิเลสบางอย่างได้ พอไปถึงภาคที่เป็นทิพย์เราอาจจะแพ้กิเลสราบคาบเพราะจริงๆแล้วจิตเรายังสู้กิเลสไม่ได้จริง  ใครที่ผ่านได้ทั้งสองแบบผมคิดว่าปฎิบัติได้ดีแล้ว ครับ 

2556-08-25

หมั่นบูชาเทวดาประจำตัว ชีวิตจะพบแต่เรื่องดี

คนบางคนนั้น เวลาที่อยู่ในช่วงที่วิบากกรรมไม่ดีนั้นส่งผล ก็จะรู้สึกว่าตนเองนั้นพบกับความเดือดร้อนหรือต้องเจอกับเคราะห์กรรมใดๆ ที่หนักและรุนแรงน้อยบ้างหนักบ้าง แตกต่างกันตามที่การกระทำที่ทำมา แต่มีหลายครั้งที่ ดูเหมือนจะไม่รอดแน่ แต่ทำไมถึงรอด และผ่านเคราะห์กรรมนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด หลายท่านเคยสงสัยในเรื่องนี้หรือไม่
บางคนก็อาจจะรู้หรือนึกเอาว่า ต้องเป็นเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาประจำตัวคอยช่วยเหลือ หรือแม้แต่เวลาที่จะมีความสุขใดๆ ก็มักจะคิดว่าเป็นเพราะเทวดาประจำตัวของท่านนั้นบันดาลมาให้
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะทุกคนนั้นมีเทวดาประจำตัวแน่นอน
แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเราต้องรู้ก่อนว่า เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนั้น เหตุมาจากกรรมที่เราทำไม่ได้มาจากอำนาจของเทวดาแต่ประการใด ถึงแม้ท่านจะมีความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีอำนาจก็จริง แต่ท่านไม่มีหน้าที่จะมาเบี่ยงเบนกรรมของผู้ใดทั้งสิ้น
ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม
ไม่ว่าเทวดาหรือใครทั้งนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรายังต้องยอมรับกรรมทั้งดีและไม่ดี จนพระพุทธองค์หลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิดไปแล้ว กรรมทั้งหมดจึงยุติเพราะไม่รู้ว่าจะไปส่งผลให้กับใคร
เทวดาท่านทำเพียง จะช่วยในการดลใจให้ทำดีหรือไม่ให้ทำความชั่ว หรือคอยอวยพรให้เราพบกับสิ่งที่ดีดีในชีวิต ปกป้องดูแลไม่ให้ดวงวิญญาณอื่นมาทำร้ายเราโดยไม่มีเหตุผล
สำหรับเทวดาที่เราเข้าใจกันว่าเป็นเทวดาประจำตัวนั้นจริงๆ แล้ว ท่านไม่ได้อยู่คอยติดตามตัวเราหรือสิงอยู่ในตัวเราอย่างที่หลายคนๆ เข้าใจ
เพราะการเกิดเป็นเทวดาตามที่ได้กล่าวมานั้น จะต้องบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีมากมายกว่าจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนั้น แล้วลองนึกภาพตามดูว่าถ้าจะให้เทวดาเหล่านั้นท่านต้องมาคอยตามดูแลเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ปกปักรักษาคนที่เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ 
เพราะตัวท่านเองก็ต้องเร่งสร้างบุญบารมีและมีกิจหน้าที่เหมือนกันเพื่อที่จะเลื่อนขั้นไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า อย่างที่บอกแล้วว่าเทวดาท่านก็ต้องมีหน้าที่คือ เทวดาบางองค์ท่านต้องมีหน้าที่ไปเฝ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปเฝ้าวัด เฝ้าพระพุทธรูป ศาลหลักเมือง ไปคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมและมีคุณงามความดีที่ต้องปกป้องรักษา หรือถ้าไม่มีหน้าที่ ท่านก็ต้องบำเพ็ญบุญบารมีไปหรืออาจะไปเที่ยวสวรรค์เล่นก็เป็นเรื่องของท่าน
และที่สำคัญภพภูมิของท่านหรือสวรรค์ของท่านนั้นอยู่สูงกว่ามนุษย์ ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวต้องกันว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นเหม็นมาก เพราะกินสัตว์ทุกประเภทและทำผิดศีลมากมาย เทวดาที่มีบุญบริสุทธิ์นั้นไม่อยากเข้าใกล้ และอยู่กับคนที่เหม็นไม่ได้แน่นอน ต้องอยู่ให้ห่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเทวดามาสิงในร่างกายคน
แต่หลายคนเชื่อว่า ยังไม่แน่ใจว่าเทวดาประจำตัวนั้นมีจริงหรือเปล่า ขออย่าพึงปฏิเสธหรือยอมรับให้ยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องใดๆ ขอให้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ คนที่จะตอบเราได้ดีที่สุดก็คือ ตัวเราเองครับ ว่าเรามีความรู้สึกหรือเคยได้สัมผัสสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่หาที่มาไม่เจอ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์นั้นยังพิสูจน์ไม่ได้
อย่าลืมนะครับว่า วิทยาศาสตร์นั้นเป็นแค่ศาสตร์ชนิดหนึ่งที่มีหลายศาสตร์มากมายทั่วโลก ที่พยายามจะตอบปัญหาของธรรมชาติให้คนได้รู้ได้เข้าใจ ถึงที่ไปที่มา แต่มีเรื่องราวมากมายที่วิทยาศาสตร์นั้นยังตอบไม่ได้ หรือหาเหตุผลไม่ได้
แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีอยู่จริง
ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ในเรื่องของการทำสมาธิและพลังจิตนั้น ที่ศาสนาพุทธได้ค้นพบและประกาศออกไปเพื่อความสุขจริงของมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายกว่า 2,500 ปี ถึงประโยชน์สุขมหาศาลที่คนที่ปฏิบัติแล้วจะได้รับทั้งทำให้มีจิตใจกล้าแกร่ง เกิดปัญญาแก้ทุกปัญหาได้ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รักษาและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วยได้แบบที่พระอริยสงฆ์ท่านใช้รักษาตัวกันบ่อย เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง
เรื่องแบบนี้วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีนี้ที่ค้นพบว่าการทำสมาธิในขั้นที่ลึกแล้ว จะทำให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานได้ช้าลงและดีขึ้น อีกทั้งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ หัวใจก็แข็งแรง เป็นต้น
และเรื่องการเกิดของสิ่งมีชีวิต พระพุทธเจ้าค้นพบมานานเป็นพันๆ ปี มีบรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกเรื่องการเกิดของเหล่าสรรพสัตว์ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบการเกิดของสัตว์ตัวเล็กๆ บางชนิด เชื้อโรคต่างๆ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เรื่องนี้จึงพอจะยืนยันได้อีกเรื่องว่า ในบางเรื่องที่เหนือความเข้าใจ วิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึงแน่นอน
และการมีอยู่ของเทวดาที่อยู่คนละภพภูมิหรือคนละชั้น แล้วการลงมาช่วยเหลือมนุษย์นี่ก็มีความเป็นไปได้ การช่วยเหลือกันข้ามภพข้ามชาตินั้น ที่สัตว์อีกชั้นหนึ่งไปช่วยสัตว์อีกชั้นหนึ่ง (เทวดา ดวงวิญญาณที่เราเรียกว่าผี มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ต่างล้วนเป็นสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างที่คำเรียกตามภพภูมิเท่านั้น)
ก็เหมือนกับการที่เราเป็นมนุษย์อยู่แล้วไปช่วยสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่น คนไปเก็บแมวหมาจรจัดมาเลี้ยง การไปช่วยช้างเคราะห์ร้ายที่ตกบ่อให้ขึ้นมาจากหลุมหรือท่อระบายน้ำ หรือการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์หลายๆ ประเภทอย่างนี้เป็นต้น
คือแม้จะอยู่ภพชาติเดียวกันแต่เป็นการช่วยเหลือต่างภูมิกัน คือเราเป็นมนุษย์มีภูมิสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานลงไปช่วยมัน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่านี่เป็นฝีมือของมนุษย์ที่มาคอยช่วยเหลือ
เหล่าเทวดาก็เช่นเดียวกันครับ ท่านอยู่ในภพภูมิที่ทั้งแตกต่างและอยู่สูงกว่าอาจจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับมนุษย์ได้  เทวดาท่านก็มีสังคมของท่านเหมือนกันในบางชั้นสวรรค์ มีทั้งเพื่อน มีสามีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวารที่มีความรักผูกพันกัน
เหล่าญาติหรือคนรู้จักของท่านอาจจะจุติมาเกิดในโลกมนุษย์ รวมถึงความห่วงใยในญาติที่ครั้งหนึ่งที่ท่านเคยเกิดมาเป็นคนก่อนที่จะมาเป็นเทวดา
เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็ยังมีกิเลสมีความห่วงหาอาทรเหมือนกับคนเรา อาจคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุขโดยการรับรู้ด้วยความเป็นทิพย์เพราะท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์หรือความรู้สึกอันเป็นทิพย์ เทวดาท่านก็จะรู้ขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่า เกิดเรื่องร้ายแรงหรือมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นกับญาติมิตรที่รักของท่าน
เทวดาท่านมีแต่กายทิพย์ไม่มีกายเนื้ออย่างคนเรา การให้ความช่วยเหลือของท่านส่วนใหญ่จะเป็นการ “ดลจิตดลใจ” หรือโน้มน้าวให้ญาติมิตรเหล่านั้นให้เปลี่ยนจิตที่เป็นอกุศล ที่กำลังจะตกไปอยู่ในอบายภูมิให้กลับกลายเป็นจิตกุศลและมีความสุขขึ้นได้ เช่น หากญาติมิตรที่กำลังโกรธจัดเพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ท่านก็แผ่เมตตาส่งบุญกุศลลงมาดลจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง
เคยหรือเปล่าครับที่เวลาที่กำลังโกรธใครหรือกำลังร้อนใจอะไรอยู่กับสิ่งนั้นมากๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเยือกเย็นลง ได้อย่างน่าประหลาดเช่นเมื่อได้ก้าวเข้าไปสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อย่างเช่นในวัดวาอารามใหญ่ๆ พอเข้าไปแล้ว รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นสว่างไสว
ทำให้จิตที่กำลังขุ่นข้องหมองใจนั้นก็กลับสงบเยือกเย็นลงเป็นลำดับ ซึ่งเป็นเพราะเทวดาที่อยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นได้แผ่เมตตาลงมาให้ทำให้รู้สึกสงบเย็นลง และค้นพบวิธีการแก้ปัญหาหรือพบกับคนที่จะช่วยเหลือให้รอดพ้นไปได้จากปัญหาเหล่านั้น
เรื่องเหล่านี้เป็นการดลใจของเทวดาแน่นอน ทั้งดลใจเราและดลใจคนที่จะช่วยเราได้ ให้มีความเมตตา มีความพร้อมในเรื่องที่จะช่วยมาเจอกัน เรื่องนี้ขอให้ไปดูเรื่องของเชื่อมบุญที่อยู่ในบทต่อไป จะเข้าใจทันทีว่าทำไมต้องเชื่อมบุญกับเทวดา
(หากต้องการทราบเรื่องรายละเอียดและความเข้าใจที่ลึกซึ้งในเรื่องเชื่อมบุญ ขอแนะนำว่าลองไปหาหนังสือ “ปาฏิหาริย์เชื่อมบุญ” ทั้งเล่มที่ 1 และ 2 ของ ธ.ธรรมรักษ์ ตามร้านหนังสือชั้นนำ มาอ่านท่านจะเข้าใจทั้งหมด)
การดลใจของเหล่าเทวดาก็ยังมีหลายระดับขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง และก็กิเลสที่อยู่ในตัวคนๆนั้นด้วยหากเป็นคนมีกิเลสหนาโทสะมากๆ ถูกความมืดในจิตครอบงำเสียเต็มแน่นทำให้เห็นผิดได้อย่างรุนแรงอย่างนี้เทวดาก็ไม่อาจดลใจช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันดุจดังความดีหรือแสงสว่างจะไม่สามารถแทรกลงไปกรรมชั่วหรือความมืดมิดได้
ขอยกตัวอย่างในเรื่องของเทวดาท่านดลใจ ที่เกี่ยวข้องกับอริยบุคคลในสมัยพุทธกาลอีกสักหนึ่งเรื่องครับเรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งความจริงแล้วท่านมีนามเดิมว่า “สุทัตตะ” แต่เพราะความใจบุญชอบทำทานแก่คนยากคนจนมากจึงได้ชื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐี นี้มาซึ่งแปลว่า “เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้คนยากไร้” ท่านมีกองคาราวานสินค้าเดินทางไปทั่วชมพูทวีป  ค้าขายอย่างตรงไปตรงมาสร้างบุญกุศลมาโดยตลอด
วันหนึ่งท่านก็ได้ไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์และได้พบกับน้องเขยของท่านนามว่า ราชคฤห์เศรษฐี (ในบางคัมภีร์ ผู้รู้กล่าวว่าท่านเป็นเพื่อนกัน) ทุกครั้งที่ท่านเดินทางไปก็จะต้องไปพักกับคนผู้นี้เสมอ ภายหลังได้ทราบว่า น้องเขยผู้นี้จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานมาฉันภัตตาหารที่บ้าน
ก็เกิดความดีใจมาก อยากจะนมัสการพระพุทธเจ้าในทันที แต่เพราะพระพุทธองค์ยังทรงประทับอยู่ในป่าสีตะวันยังไม่สะดวกจะให้ใครเข้าพบ น้องเขยจึงได้บอกให้ไปพักผ่อนรอก่อนในวันถัดไป
ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบพระพุทธองค์ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงกับหลับแล้วตื่นถึง 3  ครั้งในคืนนั้นพอครั้งสุดท้ายที่ตื่นขึ้นมา จู่ๆ ท่านก็เดินออกไปนอกเมืองไปยังป่าสีตวัน ทั้งๆ ที่ยังเป็นเวลามืดและประตูเมืองก็ยังไม่เปิดเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะเหล่าโอปปาติกะ (เทวดาพวกหนึ่ง) ช่วยกันเปิดประตูเมืองให้ท่านเศรษฐีเดินออกไปข้างนอกเมืองได้และทำให้เห็นว่าเวลานั้นเป็นเวลารุ่งสางแล้วแต่พอพ้นประตูเมือง ท้องฟ้าก็กลายเป็นเวลามืดอย่างเดิมอีก
ท่านเศรษฐีตกใจกลัวคิดจะกลับเข้าเมืองตามเดิม แต่ก่อนที่จะกลับก็มีเสียงของ “สิวกยักษ์” (เทวดาพวกหนึ่ง) มากล่าวเตือนให้ท่านเศรษฐีให้ก้าวเดินไปยังข้างหน้าอย่าได้ถอยกลับ เพราะการก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้นเป็นก้าวย่างที่จะเดินทางไปสู่หนทางที่ประเสริฐ พอสิ้นเสียงนั้นความมืดก็หายไป ท่านเศรษฐีก็เดินเข้าไปในป่าต่อไปได้
พอเดินไปได้สักหน่อยความมืดตามปกติก็เข้าปกคลุมอีก เสียงของสิวกยักษ์ก็ดังก้องขึ้นมาให้ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ความมืดก็หายไปอีกสลับกันไปอยู่อย่างนี้ ด้วยเหตุที่เกิดความมืดและความสว่างสลับกันหลายครั้งทำให้ท่านเศรษฐีเกิดความท้อใจ แต่สิวกยักษ์ ก็กล่าวให้กำลังใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางมาจนถึงป่าสีตวันได้เป็นผลสำเร็จ
ในขณะนั้นเป็นเวลาที่จวนจะรุ่งสางแล้ว พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่ เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ทรงประทับนั่งเหนือก้อนหินแล้วกล่าวเชิญให้ท่านเศรษฐีมาเข้าเฝ้าด้วยพระองค์เองโดย พระพุทธองค์กล่าวชื่อ “สุทัตตะ” ได้อย่างถูกต้องทั้งๆ ที่เป็นการพบกันครั้งแรกสร้างความยินดีและเลื่อมใสในตัวพระพุทธองค์แก่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นอย่างมาก
จากนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมพื้นฐานเป็นการเบื้องต้นให้ เมื่อเล็งเห็นแล้วว่า สุทัตตะมีความเลื่อมใสในธรรมจริงจึงแสดงอริยสัจ 4 โปรดแด่สุทัตตะ เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว สุทัตตะก็เกิดความซาบซึ้งในพระธรรมก้าวพ้นซึ่งความสงสัยในคำสอนของพระองค์ได้บรรลุเป็นอริยบุคคลมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุกลายเป็นพระโสดาบันทันที
หลังจากนั้นท่านเศรษฐีก็ประกาศปวารณาตนเองเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา แล้วจึงกราบอาราธนาพระพุทธองค์ไปฉันภัตตาหารพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งพระองค์ก็ทรงรับโดยดุษณีภาพ (หมายความว่า แสดงอาการนิ่งเป็นการยอมรับ) นี่คือเหตุการณ์การพบกันครั้งแรกระหว่างพระพุทธองค์กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ตัวอย่างเรื่องราวนี้ชี้ให้เห็นว่า เทวดาประเภทยักษ์อย่าง สิวกยักษ์ได้ทำการดลจิตดลใจของเศรษฐีให้ท่านได้มาพบกับพระพุทธองค์จนได้แสดงธรรมแก่ท่านจนได้บรรลุธรรมในชั้นต้นของพระพุทธศาสนาเป็นการสร้างบุญอันยิ่งใหญ่ซึ่งผลบุญนี้ก็จะตกไปถึงสิวยักษ์ตนนั้นด้วย
แปลความง่ายๆ ว่า การทำบุญของเทวดาท่านก็จะทำบุญด้วยวิธีนี้ใช้การดลจิตใจให้กับผู้ที่มีบุญวาสนาที่มีบุญเชื่อมโยงถึงกันจึงเป็นเหตุให้มาสร้างบุญใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่จิตใจไม่ดีคิดแต่เรื่องอกุศล ต่อให้เทวดามีฤทธิ์แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน
นอกจากเรื่องเทวดาประจำตัวแล้วยังมีเรื่อง “เทวดาเจ้าที่” อีกต่างหากด้วยครับ เทวดาเหล่านี้ท่านมีหน้าที่ดูแลสถานที่เหล่านั้นให้ร่มเย็นเป็นสุข ยกตัวอย่างเช่นคนที่เคยไปนอนตามวัดวาอารามต่างๆ เพื่อฝึกปฏิบัติธรรมอาจเคยเจอเหตุการณ์ประเภทที่ทำให้รู้สึกว่า ถูกกระตุกขาหรือได้ยินเสียงอะไรที่แปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมาเตือนสติหรือดลจิตใจให้ไปทำอะไรสักอย่าง
หรือแม้กระทั่งมาสะกิดเตือนก็มีให้เห็นมามากรายแล้ว รูปแบบของการสื่อสารระหว่างคนกับเทวดาจึงมีทั้งการดลจิตใจ การปกป้อง ไปจนถึงการสะกิดเตือนตรงๆ
เรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาประจำตัวนี้ ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะเคยมีความเชื่ออย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรกระทำก็คือ หมั่นทำความดีสร้างบุญบารมีเท่าที่ทำได้ทั้งทาน ศีล ภาวนา อย่าไปสงสัยในเรื่องของบุญและกรรมจนทำให้จิตใจตกต่ำ และหมั่นฝึก “สติ” ของเราเองให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างฤทธิ์ทางใจให้แข็งแกร่ง มีหิริโอตัปปะประทับอยู่ในจิตใจ เป็นการต้านทานบาปและหันมาต้อนรับการทำบุญทั้งปวงจะเป็นการดีที่สุด
การผูกพันระหว่างมนุษย์และเทวดานั้นเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง และทุกคนมีเทวดาประจำตัวที่เคยเป็นบรรพบุรุษ พ่อแม่พี่น้อง ยาติมิตร สหายที่คอยห่วงใยและพร้อมจะช่วยเหลือเมื่อยามมีภัย คอยดลใจให้สร้างกรรมดียิ่งขึ้นไป เพราะท่านเหล่านั้นทราบดีว่า บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริง
ยิ่งในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคยอธิษฐานจิตให้ผูกพันกันกับอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ต้องมีการติดตามไปเฝ้าดูอยู่ตลอดเหมือนเชือกที่โยงติดกัน แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหมดบุญในการอธิษฐานหรือทำการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ตกต่ำลงสายใยที่เคยผูกโยงไว้ด้วยบุญก็จะขาดออกจากกัน
ทางที่ดีที่สุดเพื่อความไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้ว่าวิบากกรรมไม่ดีจะมาส่งผลเมื่อใด ขอโปรดหันมาทำความดีละเว้นความชั่ว เพื่อเป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ และลด ละ เลิก หลีกหนีเว้นในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายจะดีกว่า
เพราะการเอาแต่นั่งรอให้เทวดาประจำตัวมาช่วยเพียงอย่างเดียว เป็นเรื่องที่ไม่สมควรและประมาทในเรื่องของกรรมมาก เทวดาประจำตัวท่านไม่อาจจะช่วยได้เลย หากตัวเราไม่มีบุญเป็นฐานหรือกำลังสนับสนุนที่เพียงพอ
ยิ่งเราเป็นผู้มีบุญมาก เทวดาท่านก็ยิ่งจะสื่อสาร ดลใจช่วยเหลือเราได้มากขึ้น เพราะเข้าออกในจิตใจเราได้สะดวกไม่มีกรรมชั่วมาขวางกั้นเอาไว้ 
เคล็ดวิธีการบูชาเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นก่อนที่จะบูชาเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตามขอให้พึงระลึกเรื่องหนึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อนครับ เรื่องสำคัญที่ว่านี้ก็คือเรื่อง “กรรม” พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้และมีบันทึกในพระไตรปิฎกที่ปรากฏอยู่ในจูฬกรรมวิภังคสูตรในมัชฌิมนิกาย พระสุตตันตปิฎกมีใจความว่า
“สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนกำเนิด มีกรรมเป็นเครื่องติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์เลวและประณีตแตกต่างกัน”
การที่บอกว่าเทวดาท่านช่วยให้รวย ช่วยให้สุข ช่วยให้พ้นภัยนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ท่านจะช่วยในเวลาที่คนนั้นมีบุญและกรรมดีกำลังจะส่งผลเท่านั้น เป็นการช่วยให้คนๆ นั้นเร่งสร้างกรรมดีอย่างถูกต้องที่จะส่งผลให้บุญใหม่นั้นรวมกับบุญเก่าทันเวลา ไม่ใช่ท่านเนรมิตหรือทำอะไรก็ตามให้เองโดยที่คนๆ นั้นไม่ต้องทำอะไร แบบนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น
การที่พิธีสำคัญต่างๆ รวมถึงการที่ทุกครั้งก่อนสวดมนต์มีการอัญเชิญเทวดามาร่วมพิธีนั้น ที่มีบทคาคาชุมนุมเทวดานั้น  เป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการวมผู้มีบุญบารมีมาสร้างบุญกุศลร่วมกัน จะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นการวมพลังงานฝ่ายดี เหมือนกับรวมน้ำจากที่ต่างๆ การเป็นมหาสมุทรจะพัดพาไปที่ใดก็ร่มเย็นแล้วก็เกิดผลดี
ขั้นตอนการบูชาให้ได้ผลอย่างแท้จริง
1.ทำตนเองให้เป็นคนดี
ก่อนอื่นต้องรู้ว่า การเกิดเป็นเทวดาต้องมาจากบำเพ็ญบารมีอย่างมาก เทวดาจึงมีคุณงามความดีมากกว่ามนุษย์หลายเท่า การจะหวังให้เทวดามาดูแลมนุษย์คนใดคนหนึ่งจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มนุษย์เรายังรู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องหรือสัมผัสถึงเทวดาได้อยู่อาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กันมาในอดีต
การที่เทวดาจะมาช่วยเหลือหรือคอยติดตามนั้นเทวดาจะคอยตามโมทนาคุณงามความดีของคนที่ได้สร้างบุญกุศลให้และดลจิตดลใจให้กระทำความดี ที่จะน้อมนำไปสู่ความสำเร็จหรือภาษาชาวบ้านก็คือ เรียกว่า “มอบโชคลาภ” ให้นั่นเอง
แปลว่าการที่เราจะได้รับแรงสนับสนุนหรือส่งเสริมใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ คนที่จะไปขอความช่วยเหลือก็ต้องมีคุณงามความดีมากพอด้วยไม่อย่างนั้นเทวดาท่านก็ช่วยไม่ได้
การที่จะขอให้ท่านช่วยเหลืออะไรนั้น มีเคล็ดสำคัญมากก็คือ เราผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ขอต้องทำการ “เชื่อมบุญกุศลคุณงามความดีส่งไปให้ท่านเสียก่อน” เพื่อแสดงความเคารพยอมรับและให้กระแสบุญนั้นผูกพันกัน เมื่อจะมีเหตุการณ์ใดท่านจะได้ช่วยเหลือหรือดลใจได้
การเชื่อมบุญคืออะไร ทำไมต้องเชื่อม ?
การเชื่อมบุญหากจะแปลความให้พอเข้าใจง่ายๆ ก็คือ การที่เอาบุญนั้นเป็นตัวเชื่อมให้ของสองสิ่งหรือมากกว่านั้นเข้าหากัน  เหมือนดังคนที่เคยมีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ครั้งในอดีต ตอนแรกๆ คนเราเมื่อยังไม่รู้จักกันเดินสวนกัน เจอหน้ากันอย่างดีก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็เดินผ่านเลยไป
เชื่อว่าต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้รู้จักกันถึงจะมาพูดคุยกันได้ อย่างน้อยก็คำทักทายว่า สวัสดี หรือการช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ สักอย่างทำให้ ต่างคนต่างจำกันได้ พอเวลาพบกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นคนรู้จักหลังจากนั้น พอทำความสนิทสนมกันมากเข้าก็กลายเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ต่อกัน พัฒนาจนไปเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็กลายเป็นแฟนเป็นคู่ชีวิตกัน
เรื่องของเทวดานี่ก็เหมือนกันครับ ตอนนี้เราอาจหาอ่านข้อมูลต่างๆ จากหนังสือหลายๆ เล่ม ว่าท่านมีลักษณะอย่างไรอยู่สวรรค์ชั้นไหนรายละเอียดเป็นอย่างไร แต่เราก็ยังไม่ได้ทำความรู้จักท่านจริงๆ ท่านก็มองเห็นเราเหมือนกัน แต่ท่านก็ยังไม่รู้จักเรา คนไม่รู้จักกันจะให้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก
เทวดากับเรา อาจจะยังคงเป็นคนแปลกหน้าหรือญาติห่างๆ ที่ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดยังไม่ถึงขั้นที่พร้อมจะช่วยเหลือหรือเต็มใจช่วยในเรื่องสำคัญบางอย่างได้
เพราะฉะนั้น “การเชื่อมบุญ” นี่แหละที่จะเป็นตัวที่สามารถทำให้ เราสามารถรู้จักกับเทวดาได้และท่านก็จะรู้จักเรา กระชับสายใยแห่งความผูกพันและสายในแห่งบุญทั้งบุญเก่าและบุญใหม่เข้าหากัน เพื่อให้บุญนั้นมีกำลังพอที่จะส่งผล ช่วยให้พบกรรมดีได้เร็วขึ้นและช่วยคลายวิบากกรรมไม่ดีได้
ในเมื่อเรายังเป็นมนุษย์ยังอยู่ในโลกมนุษย์ ต่างภพภูมิกับท่าน ด้วยพลังบุญเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์ติดต่อสื่อสารและมีบุญที่ร่วมกันกับเทวดา ยิ่งเราเป็นผู้ชอบทำบุญกุศลแล้ว  เทวดจะพึงพอใจมากถ้าลองพิจารณาคำสอนของท่านกุมารกัสสปะเถระที่ท่านสั่งสอนพระเจ้าปายาสิธิราชว่า
“เทวดานั้นไม่ชอบมาอยู่ใกล้มนุษย์ เพราะว่ากลิ่นสาบกิเลสที่มีในมนุษย์มีมากเกินไป ท่านจึงไม่อยากมาเข้าใกล้เหมือนคนที่ตกบ่อโคลนมาใหม่ๆ มาเจอกับคนที่เพิ่งอาบน้ำปะแป้ง หอมๆ มาใหม่ๆ แล้วต้องมาเจอกัน”
อีกเรื่องนี้ที่สำคัญมากคือ หากเราอยากจะรู้จักและเข้าใกล้เทวดาได้ และทำให้ท่านเข้าใกล้เราได้ก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้มีบุญมากเหมือนกับเทวดาที่ต้องมีบุญมากไปด้วย แม้ว่าจะยังเป็นไม่ได้ในทันทีแต่อย่างน้อยก็ต้องพยายามทำให้ใกล้เคียงความเป็นเทวดาให้มากที่สุด พอเราเป็นคนดีมีคุณธรรมที่ใกล้เคียงหรือเสมอพอกับท่าน ก็จะทำให้รู้จักกันได้ง่ายขึ้น
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ท่านได้กรุณามอบธรรมะข้อหนึ่งที่จะเป็นแนวทางที่ทำให้คนเราใกล้เคียงกับความเป็นเทวดา เรียกว่า “เทวตานุสสติ”
คำว่า “เทวตานุสติ” หมายความว่า การระลึกถึงธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี อยากเป็นเทวดา หรือแม้กระทั่งเป็นไปถึงชั้นอินทร์ชั้นพรหมมีความบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์ทั้งหลายไปเพื่อให้ได้เสวยแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว
แต่เมื่อเราได้เกิดมาได้เพียงเป็นเพียงมนุษย์ ก็ต้องทำความเข้าใจและพยายามที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์โดยสมบูรณ์คือ มีทั้งอวัยวะครบบริบูรณ์ทุกประการไม่เป็นบ้าใบ้ หูหนวก ตาบอด หรือเสียจริตผิดความเป็นมนุษย์ไป
ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงไว้ก่อนแล้วจึงค่อยนำธรรมะที่เป็นเครื่องตกแต่งให้กลายเป็นหรือใกล้เคียงกับความเป็นเทวดาต่อไป
คำพระท่านในภาษาบาลีจึงเรียกว่า “มนุสโส” เมื่อเกิดขึ้นมาเป็น มนุสโส แล้วจึงค่อยพัฒนาเป็น    “มนุสสะเทโว” ต่อไป ถ้าไม่เป็น “มนุสโส” เสียก่อนแล้ว ก็เป็น “มนุสฺสะเทโว” ไม่ได้
เปรียบง่ายๆ เหมือนกับคนที่มีอาชีพต่างๆ ถ้าทำการค้าขายก็เรียกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะมีธรรมอันทำให้เป็นเทวดาธรรม นั้น คือ “หิริ” ความละอายแก่ใจในการทำชั่ว และ “โอตตัปปะ” ความเกรงกลัวต่อบาปนั่นเอง
ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญ ผู้ที่มีความละอายต่อบาปและกลัวมัน จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ก็ตาม แม้แต่เพียงคิดเฉยๆ ว่าจะทำความชั่วอะไรสักอย่างเพียงเล็กน้อย สมมติว่าคิดจะขโมยของเขาก็ให้คิดละอายขึ้นมาในใจแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ยังไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ว่าตัวเรารู้ตัวเองอยู่ จึงละอายต่อบาปจึงไม่กล้าทำมัน เท่านี้คุณก็มีคุณสมบัติเป็น “มนุสสะเทโว” หรือเป็นเทวดาในร่างมนุษย์แล้ว
แต่ว่ามีหิริ โอตตัปปะ ที่เป็นธรรมที่ทำให้เหมือนเทวดาแล้วยังไม่พอครับ ขนาดเราเป็นมนุษย์เหมือนกันเห็นหน้ากันทุกวันบางทียังไม่เคยทักทายหรือมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันเลย การที่เราจะทำความรู้จักสนิทสนมกันเพื่อให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทางต่างภพนี้ต้องมี “บุญ” เสริมเข้าไปด้วย
หลักการสำคัญที่จะทำให้การเชื่อมบุญกับเทวดานั้นสำเร็จ ตามที่เราปรารถนานั้น คือ ตัวเราเองต้องมีบุญเสียก่อน ถึงจะเชื่อมบุญได้ การที่จะมีบุญได้มีอยู่วิธีทางเดียว คือการที่เราต้องสร้างบุญขึ้นมา
การสร้างบุญใหญ่ๆ ในทางพระพุทธศาสนามีหลักสำคัญก็คือการบำเพ็ญบุญ 3 อย่างที่กล่าวไปแล้ว คือ ให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา
จากวิธีการสร้างบุญดังกล่าวทั้ง 3 วิถีทางตามแนวทางหลักของพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้บุญที่ยิ่งใหญ่แตกต่างกันไป ลองทบทวนดูครับว่าตอนนี้เราได้ประกอบคุณงามความดีพร้อมที่จะเป็นผู้มีความดี มีบุญในตัวแล้วหรือยัง
หลังจากที่ได้ทำบุญคือเป็นทั้งผู้ที่เกือบมีความดีเสมอท่านแล้ว รู้จักหน้าค่าตากันแล้วอย่างสุดท้ายที่ต้องทำก็คือเอาส่งไปให้ท่านเทวดาทั้งหลายครับ เหมือนกับเวลาที่เรารู้จักคนหนึ่งคนที่คิดว่าเขาจะให้ความช่วยเหลือเราได้ เขาต้องมีอะไรดีๆ มากกว่า, รู้จักหน้าค่าตารู้หัวนอนปลายเท้าแล้วว่าเราเป็นใคร สุดท้ายก็ต้อง หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้เขาก่อนเขาถึงจะช่วย ดังคำกล่าวที่ว่า “ผู้ที่ให้จึงจะเป็นผู้ที่ได้รับ”
การเชื่อมบุญหัวใจสำคัญก็ตรงนี้แหละครับยื่นส่งบุญให้เทวดาอย่างไร ก็คือการ “อุทิศ”ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่าน การอุทิศบุญกุศลนี้จะว่าไปก็เป็นหนึ่งบุญและคุณงามความดีอีกอย่างหนึ่งตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการข้อที่ว่าด้วย “ปัตติทานมัย” เป็นการบอกให้ทราบและรับเอาบุญนั้นไปใช้ได้ทันที
คุณผู้อ่านเคยได้ยินพระท่านบอกใช่หรือเปล่าครับว่าทำบุญเสร็จแล้วให้รีบอุทิศบุญให้คนอื่นไปด้วยทั้งคนทำทั้งคนรับได้เหมือนกันหมด เหมือนจุดเทียนไว้เล่มหนึ่งแล้วต่อเทียนกันไปคนให้บุญก็ไม่หมดและเป็นแสงสว่างให้คนอื่นใช้ประโยชน์ได้ด้วย
ผู้ที่เราควรจะส่งบุญไปให้ได้ก็ได้แก่ พ่อแม่,ญาติพี่น้อง, ครูบาอาจารย์, เหล่าเทพเทวดาและเทวดาประจำตัว เหล่าเปรตและภูตผีปิศาจ เจ้ากรรมนายเวร และสุดท้ายคือสัตว์โลกทั้งหลายอีกมากมายที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมดให้ได้รับบุญไปด้วย
“อิทัง สัพพะเทวานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา” ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข   
ประโยคนี้แหละครับเป็นจุดสำคัญและจุดสิ้นสุดของการเชื่อมบุญให้เทวดาได้รับบุญนั้นไป ทีนี้ทั้งฐานะ ทั้งรูปร่างหน้าตาหัวนอนปลายเท้า และคุณงามความดีที่มอบส่งให้แก่กันเราก็ได้ทำไปหมดแล้ว ท่านเหล่าเทวดาได้รู้จักเราแล้ว เวลาที่เราเกิดเรื่องราวเดือดร้อนอะไรก็ตาม ท่านก็จะมาช่วยเราได้อย่างแน่นอน
เสริมตรงนี้ทิ้งท้ายไว้อีกหน่อยครับ เรื่องการส่งบุญให้เทวดาท่านนั้นหากคุณไม่แน่ใจว่าจิตของตนเองจะมีกำลังไม่กล้าแข็งพอ ก็มีอุปกรณ์เสริมในการส่งบุญไปให้ ซึ่งไม่ใช่ของหายากอะไรเลยนั่นคือ “น้ำ” ครับ
การหลั่งน้ำหรือกรวดน้ำมีความหมายว่า ผลบุญที่เราส่งไปให้ท่านเทวดานี้จะได้ไหลติดต่อกันแบบไม่ขาดสายผู้รับก็จะรับบุญได้อย่างไม่ขาดระยะเป็นไปได้ด้วยความราบรื่นเปรียบเหมือนกระแสน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรที่ไม่มีวันขาดสายครับ ทีนี้ผลบุญก็จะส่งไปถึงเหล่าเทวดาได้เต็มๆ ไม่มีการขาดห้วง
การกรวดน้ำที่ต้องใช้น้ำกรวด เพราะถือกันตามประเพณีนิยมที่ได้ปฏิบัติสืบๆ กันมาเวลา ที่เราทำบุญสร้างบุญแล้ว พระภิกษุท่านก็จะโมทนาบุญว่า
ยะถา วาริวหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง ห้วงน้ำที่เต็ม, ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ  ทานที่ท่านได้อุทิศให้แล้วแก่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ละโลกนี้ไปแล้วฉันนั้น
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิชฌะตุ ขออิฐผลที่ท่านได้ปรารถนาแล้วตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยพลัน
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา ขอให้ความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
มะณี โชติระโส ยะถา เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสว ควรยินดี”
พิจารณาจากคำที่พระท่านกล่าวทุกทีที่เราทำบุญใส่บาตรหรือถวานสังฆทานหรือทำบุญใดๆ แล้วความหมายตรงกันเลยใช่หรือไม่ครับ คาถานี้เรียกว่า อนุโมทนารัมภะคาถาหรือว่า “บทกรวดน้ำ” นั่นเอง
ถ้าเราเองไม่แน่ใจว่าจิตเราจะมีพลังกล้าแข็งพอจะส่งบุญให้ท่านเทวดาทั้งหลายถึงหรือไม่ก็ใช้การอธิษฐานจิตพร้อมกับการกรวดน้ำไปให้ท่านครับรับรองว่า บุญกุศลนั้นได้ไปถึงแน่นอน
หลักการขอพรจากเทวดาประจำตัวให้ได้ผล
เมื่อทำการเชื่อมบุญ ทำให้กระแสบุญผูกพันกันแล้ว เชื่อมกันแล้ว ในเวลาเราจะไปขอพรหรือขอความช่วยเหลือนั้น เราต้องไม่ลืมว่าอย่างไรก็ตามท่านก็เป็นเทวดาท่านมีภพที่อยู่สูงกว่าเราที่เราต้องไปสักการบูชาทำความเคารพ ขอโมทนาคุณความดีของตัวท่านให้ช่วยคุ้มครองและดลใจให้เราไม่เดินทางผิดและทำดีต่อไป ไม่ใช่การไปขอร้องให้ช่วยด้วยการ “ติดสินบน” โดยการเอาของไปเซ่นไหว้หรือล่อใจท่าน
อย่าลืมว่าเทวดา ท่านก็เป็นภพภูมิที่ยังมีกิเลส การไปสร้างกิเลสให้ท่านก็นับว่าเป็นบาปอย่างหนึ่งทำให้กลายเป็นว่า ท่านจะไปสร้างกรรมร่วมกับเราแทนซึ่งแน่นอนว่าเหล่าเทวดาผู้ต้องการความดีคงไม่ปรารถนาเช่นนั้น
ที่สำคัญคือ หากเราเป็นคนหนึ่งที่ไปชักชวนให้ท่านเกิดกิเลสให้ท่านร่วมก่อกรรมไม่ดีเพราะเอาสิ่งของไปล่อไปติดสินบน เราก็จะต้องพลอยรับผลกรรมไม่ดีไปด้วย คิดใหม่ว่า ที่ท่านช่วยให้พรและให้ความเมตตานั้นท่านไม่ได้หวังเครื่องเซ่นไหว้ใดๆ ท่านได้ช่วยเราด้วยความบริสุทธิ์ใจเช่นเดียวกับการที่เราบริสุทธิ์ใจไปขอท่านจะทำให้ท่านได้สร้างบุญเพิ่ม
การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับและขอได้ทุกโอกาสขอได้กับเทวดาทุกองค์ (เพราะอย่าลืมว่า ไม่มีเทวดาองค์ไหนมาคอยอยู่ประจำตัวดูแลเราตัวต่อตัว แน่นอน) เมื่อเรายังคงอยู่ในศีลมีบุญติดตัว มีความตั้งใจมั่นและศรัทธาในความดี รับรองว่าความสำเร็จบังเกิดขึ้นกับเราแน่ๆ
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ในขณะที่กำลังขอพรหรือขอความช่วยเหลือนั้นสิ่งที่ขอก็ต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วยหากจุดประสงค์ในการขอไม่บริสุทธิ์ จิตก็จะไม่สะอาดไม่อาจก่อพลังงานที่ดีขออะไรไปก็ไม่ได้ผลไม่เกิดอะไรขึ้นและท่านเทวดาก็คงไม่อำนวยผลให้เกิด เพราะถ้าท่านทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าท่านได้ทำบาป แล้วของที่ไม่ดีอย่างกรรมชั่วและบาปนั้นไม่มีใครเขาอยากได้
เมื่อจุดประสงค์ดี จิตใจสะอาดและสิ่งที่ขอกำลังจะเป็นผลให้ลองสังเกตดูว่า ช่วงเวลาที่จิตใจสะอาดจะมีมีความกล้าแข็งทางจิตขึ้นด้วยจะมีความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย อาจมีอาการขนลุก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหรือมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในจิตแสดงว่า เทวดาท่านรับรู้แล้วในสิ่งที่เราต้องการและท่านจะช่วยอำนวยพรให้ส่วนเรื่องจะประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจหวังหรือไม่ ก็อยู่ที่กรรมลิขิตตามหลักของ “กฎแห่งกรรม” อีกทีหนึ่งครับ
การบูชาด้วยอามิสบูชาหรือด้วยสิ่งของต่างๆ นั้น คงไม่จำเป็นอะไรสำหรับเทวดาประจำตัว เพราะโดยทั่วไปแล้วเทวดาทั้งหลายนั้น ท่านมีกายทิพย์ สิ่งที่ท่านใช้ในประจำวันล้วนเป็นของทิพย์ทั้งสิ้น ท่านปรารถนาบุญกุศล ที่เป็นสุดยอดของทิพย์ทั้งปวง ดังนั้นการบูชาด้วยสิ่งของนั้นท่านที่อยากจะทำก็ทำได้ ไม่ได้ผิดแต่ประการใด ถือว่าเป็นแสดงความเคารพ ขอให้บูชาด้วยน้ำสะอาด ดอกไม้หรือเครื่องหอมก็พอจะได้ไม่สิ้นเปลืองอะไรมาก เทวดาท่านดูที่เจตนานะครับ ไม่ได้ดูด้วยสิ่งของนั้นมีราคาค่างวดหรือต้องแพงอะไร ขอให้บูชาท่านด้วยการปฏิบัติบูชา การทำกรรมดี อุทิศบุญไปให้ท่านทุกครั้งที่เราสร้างบุญเท่านี้ท่านจะรักและเมตตาเรายิ่งขึ้นแน่นอน
เชื่อมั่นว่า เมื่อท่านได้รับความรู้ในเรื่องการบูชาเทวดาแล้วอย่างครบถ้วน แล้วลองนำไปปฏิบัติดู ชีวิตของท่าจะพบกับเรื่องดีๆ ที่จะมาตัวท่านนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป


หมั่นบูชาเทวดาประจำตัว ชีวิตจะพบแต่เรื่องดี

หลักการปฏิบัติเบื้องต้นของผู้มีองค์เทพ

หลักการปฏิบัติเบื้องต้นของผู้มีองค์เทพ
๑ . งดหรือห้ามรับประทานเนื้อวัวควายตลอดชีวิต
๒ . ห้ามรับประทานเครื่องเซ่นบวงสรวงของคนอื่น (เครื่อง เซ่นบวงสรวง ของตัวเอง สามารถนำมารับประทานได้ ของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หรือผีไม่มีญาติควรงด เครื่องเซ่นที่ปักธูปดอกเดียว ควรงด)

 ๓ . ห้ามรับประทานอาหารหรือของกินต่างๆในงานศพงานแต่งหากจำเป็นต้องไป ให้จุดธูปกลางแจ้ง ๑๖ ดอกบอกกล่าวขออนุญาติต่อองค์เทพ ที่ว่าไม่ควรกินอาหารที่งานศพ ด้วยเหตุว่า 
 
       ๑. ไม่ทราบว่าสะอาดหรือไม่
       ๒. ถ้าไปงานแล้วอยู่ไม่กี่ชั่วโมง ให้ทานอาหารจากบ้านไป
       ๓. ถ้าอยู่ช่วยงานทั้งวัน เวลาจะกินให้ตักไปกินนอกศาลา ให้จุดธูปบอกกล่าวต่อเทพเทวาหรือพนมมือตั้งจิตอธิฐาน ว่ามีเหตุจำเป็นเพราะ ผู้ที่ล่วงลับเป็นญาติผู้ใหญ่ จำต้องร่วมงานและช่วยงานศพให้ลุล่วงด้วยดี เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตา 
๔ . สวดมนต์เป็นประจำ หากปฏิบัติถือศีล และสมาธิได้ก็จะยิ่งดีมาก   
๕ . การอาบน้ำมนต์อย่างน้อย สามครั้ง ส่วนการรับขันธ์  ขอให้เป็นแค่ความเชื่อส่วนบุคคลและเป็นทางเลือกสุดท้าย

   และข้อย่อยอื่นๆตามคติความเชื่อของแต่ละสาย เช่นสายจีนทางสายองค์โพธิสัตว์กวนอิม ท่านจะประสงค์ให้ถือครองพรหมจรรย์ หรือทางสายฮินดูที่เคร่งครัดจะกำหนดให้ทานมังสวิรัต ส่วนเรื่องการไปตามงานไหว้ครู มิได้มีข้อห้ามบังคับแต่อย่างใด แล้วแต่ประสงค์และดุลยพินิจของแต่ละร่าง