2556-08-29

ความคิดเห็น / การทำพลีแก่เทวดาตามที่พุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผลใช่การเอาของไปตั้งไหว้เปล่า

ผมส่งสัยว่าการทำพลีแก่เทวดาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสิ่งที่ควรทำเพราะว่ามันมีผลการกระทำคือการเอาของไปตั้งไหว้แบบไหว้เจ้าของคนจีนหรือเปล่าแล้วเทวดาเหล่านั้นเอาของไปได้ไงถ้าไม่ใช่การอนุโมทนาบุญยังฝากท่านผู้รู้ทุกท่ายช่วยแถลงไขทีขอขอบคุณล่วงหน้าเลยครับแล้วถ้าความเข้าใจผมผิดยังไงเรียกว่าการทำพลีแก่เทวดาที่ถูกต้องครับ


(Weerapong)  IP Address : 203.170.141.181
 ที่จริงเรื่องนี้ผมไม่อยากจะนำเสนอเท่าไหร่นะครับ เพราะมีคนต่อต้านเรื่องนี้ค่อนข้างมาก (ท่านที่ไม่เชื่อก็ถือว่าอ่านดูเล่นๆก็แล้วกัน) ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะว่าไม่เข้าใจศาสน์เรื่องเทวดา เรื่องการบูชาสักการะ  ที่คนจีนเขาทำนะก็ใช่  ที่คนไทยไหว้เจ้าที่ก็ใช่  การบวงสรวงในพิธีต่างๆก็ใช่    เวลาเรากล่าวคำถวายหรือบางครั้งแค่นึกในใจ อาหารทิพย์ก็ปรากฎ  เทวดา ยักษ์ ฯลฯ ก็สามารถมาเสพอาหารทิพย์เหล่านี้ได้  จะเห็นได้ว่าคนจีนจะทำกันอย่างเคร่งครัดและก็เกิดความอุดมสมบูรณ์ในการทำมาหากินดี คนไทยก็มีความเชื่อแต่ส่วนใหญ่แล้วบูชากันไม่ค่อยถูกยกเว้นบางพื้นที่เท่านั้น  แม้แต่ห้องพระในบ้านเราบางทีเราไม่เคยถวายอะไรเลย รู้ไหมว่าในองค์พระนะมีเทวดารักษาประจำอยู่ ถ้าเราทำไม่ดีหรือไม่เคยบูชาเลยเทวดาก็ไม่มีพลัง  เราอธิษฐานอะไรก็ไม่เกิดผลเพราะเราไม่เคยให้อะไรเขาเลย(อย่าลืมว่าเทวดายังไม่หมดกิเลสนะครับ)  แค่สวดมนต์ไหว้พระแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลบางทีก็ไม่เพียงพอหรอก  ถ้าไม่ดีพอแม้แต่เชิญเทวดาเขายังไม่มาเลย  ผมเคยสังเกตดูเวลาพระท่านเชิญเทวดา เขามาตามบารมีของผู้เชิญ พระบางรูปมีบารมีมาก เชิญเทวดาเขามาเป็นหมื่นจักรวาล   พระบางองค์เชิญเทวดาไม่มาแม้แต่องค์เดียว ก็ได้แต่สวดสักเคฯไปอย่างนั้นแหละ 
         การที่เราจะทำบุญกุศลให้เทวดาเขาอนุโมทนานี่ไม่ใช่ของง่ายนะครับ ต้องทำกองบุญนั้นอย่างถูกต้องจริงๆเขาถึงจะอนุโมทนา  แม้แต่ที่เราทำกฐินกันนี่จะมีกฐินสักกี่กองในโลกนี้ที่เทวดาเขาอนุโมทนา บางทีเขาอาจจะมาในงานกฐินจากการกล่าวเชิญแต่ก็ไม่ได้อนุโมทนากองกฐินที่เราทำกัน   ส่วนใหญ่ก็จะได้อานิสงค์เป็นทาน ไม่ถึงกฐินครับ เพราะยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องมีในการทำกฐิน ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยโบราณ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่าผู้รับผ้ากฐินได้จะต้องเป็นผู้บรรลุคุณธรรม 8 ประการ  แล้วเราจะไปหาที่ไหน? เป็นต้น
         ขอจบแค่นี้แล้วกันนะครับ หลายท่านคงปั่นป่วนมากแล้วเพราะขัดกับความเชื่อที่เคยศึกษามา  ถ้าจะให้เข้าใจได้จริงๆก็ให้ปฎิบัติ จนถอดกายทิพย์ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันครับ สัมผัสเทวดาประจำตัว ทำจิตให้เข้าสู่โลกทิพย์ให้ได้ก่อน  แล้วจะเข้าใจมากขึ้น บางทีมันยากตรงที่บางคนเข้าถึงบางคนก็เข้าไม่ถึง ความเข้าใจจึงไม่ตรงกันครับ




ครูบาอาจารย์อย่างน้อย ๒ ท่าน เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการทำงานของเทวดา ที่จริงรายละเอียดมีมากมาย เช่นการประชุมกันของเทวดาที่เทวสภา  เทวดาก็โดนแดดโดนฝน  เทวดารักษาพระพุทธรูป/พระเครื่อง ฯลฯ พวกยักษ์  พวกนาครักษาทรัพย์ ตามทวงสมบัติ เช่นของบางอย่างในภาคมนุษย์ไม่ค่อยจะมีค่าเท่าไหร่แต่ในภาคทิพย์มีค่ามาก เราเอาของเขามาโดยไม่รู้ บางทีก็เจ็บป่วยเดือดร้อนเป็นต้น แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร(การเจ็บป่วยมีหลายสาเหตุแต่บางคนก็เจ็บป่วยเพราะสาเหตุเหล่านี้)   ที่อันตรายมากก็เห็นจะเป็นพวกสมบัติศาสนา เช่นพระพุทธรูป เครื่องทองคำเป็นต้น ถ้าเราเอามาเก็บไว้โดยไม่รู้ก็เป็นบาปเช่นกัน ของบางอย่างมีอาถรรพ์ หรือบางทีคนโบราณเขาสาปแช่งไว้ เช่นพระกรุพระธาตุพนม กรุฮอด ฯลฯ ใครเก็บไว้เป็นสมบัติของตนเดือดร้อนทุกราย(เป็นกรรมกับเทวดารักษาทรัพย์) ถ้าไม่เชื่อลองถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์พระธาตุพนมล้มดูสิ ช่วงนั้นชาวบ้านมาแอบเอาพระหรือทรัพย์สมบัติกันมาก ปรากฏว่ามีการตาย เจ็บป่วยต่างๆนานา รีบเอาของกลับมาคืนแทบไม่ทัน นั่นละเป็นอำนาจเทวดารักษาทรัพย์เขาทำหน้าที่ของเขา
               จุดเริ่มต้นความสนใจของผม ส่วนใหญ่แล้วผมไปพบเจอเหตุการณ์เหล่านั้นโดยบังเอิญจากการทำสมาธิ หรือจะพูดว่าการถอดกายทิพย์ก็ได้  แล้วก็แสวงหาคำตอบในหลายๆเรื่องกับท่านที่มีความรู้ทางด้านนี้ แล้วเอามาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน     ผมคิดว่าเหมือนกับการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องเชื้อโรคนั่นแหละ แต่ในที่นี้เราใช้จิตแทนกล้อง สิ่งที่มันมีอยู่ก็ยังคงมีอยู่อย่างนั้น พระอริยะเจ้าจิตท่านเป็นกล้องวิเศษได้มากกว่าเรา ท่านจึงให้คำตอบได้ละเอียดกว่า  สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีอยู่  ผมก็ยังต้องเชื่อว่ามีอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งแน่นอน
           แม้แต่ของบางอย่างเทวดาเขาก็จำกัดสิทธิในการสร้าง ต้องเป็นบารมีของผู้ที่สร้างบารมีมามากถึงจะได้สิทธิ  ยกตัวอย่างเช่น พระแก้วมรกตทองคำ หน้าตักสัก ๙ นิ้ว ถ้าพระหรือบุคคลผู้ใดสร้างได้สำเร็จ ผมจะรีบไปกราบแทบเท้าเลยครับ  ใครจะลองทดสอบบารมีตัวเองลองดูได้ครับ  มีเงินก็มิใช่หมายความว่าจะทำได้สำเร็จนะครับ  ถ้าไม่มีบารมีพอ ผมเข้าใจว่าตายแน่เลยครับ บางทีการทำบุญเกินบารมีตัวเองก็ทำให้ตายได้นะครับ อำนาจบุญบันดาลให้ไปเสวย ตายแล้วไปดีครับแต่ทำบารมีต่อไม่ได้   ดังนั้นที่โบราณท่านว่าอย่าสร้างอุโบสถ วิหาร พระใหญ่ ฯลฯ คนเดียว เพราะอันนี้เป็นการทำบุญที่เป็นเหตุให้ตายได้ จะทำบุญใหญ่ต้องรู้จักวิธีการทำ  เขตบุญบางที่แม่ธรณีไม่รองรับบุญ ถ้าเราทำบุญในเขตนั้นก็จะเป็นโมฆะไม่ได้บุญ เนี่องจากเทวดาไม่บันทึก เช่นเขตวัดที่ชายหญิงแอบไปมีอะไรกันในเขตพัทธสีมา เป็นต้น  ภาคทิพย์แผ่นดินจะแหว่งไม่ต่อกันกับเขตของแม่ธรณีที่ท่านรองรับกองบุญ เทวดาในเขตวัดนั้นก็จะหนีหมดเช่นกัน
          หลายท่านอาจจะมองว่าผมอาจจะเดินผิดทางพุทธศาสนาแล้วก็เป็นได้ แต่ในมุมมองของผมแล้วธรรมะบางอย่างจำเป็นต้องใช้อายตนะภายในไปทำความเข้าใจ การเรียนธรรมะด้วยจิต ในภาวะที่ไม่มีธาตุ ๔ เข้าไปเกี่ยวข้อง(ภาคทิพย์) บางครั้งก็เข้าใจได้ไว ความลังเลสงสัยในคำสอนน้อยกว่าการเรียนธรรมะในสภาวะทั่วไป  ถ้าไปเจอสิ่งที่มีในพระไตรปิฎกแต่ไม่สามารถไปรู้ไปเห็นได้ก็สงสัยอยู่ตลอดเวลา หรือว่าจะเชื่อโดยที่ตัวเองพิสูจน์ไม่ได้ (ก็ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ) ลองนึกดู    ถ้าเราไปทำบุญแล้วก็บอกว่าบุญเกิดแล้วที่จิต จิตใจสบายปลอดโปร่ง ผมก็ถามเล่นๆว่าเวลาตายไปมีใครเป็นพยานให้ละว่าคุณได้ทำบุญไว้ มีหลักฐานอยู่ที่ไหน กองบุญคุณอยู่ที่ไหน มีกี่มากน้อย เป็นต้น
             ต้องขออภัยที่ทำให้บางท่านสับสนกับความเชื่อเดิมของท่าน ผมเชื่อว่าศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านให้พิสูจน์ได้ การปฎิบัติธรรมนั้นปัจจัตตังของแต่ละคนเทียบกันไม่ได้ครับ



ครับ ก็รับฟังความคิดเห็นจากทุกท่าน  ท่านที่ทำไปถึงภาคทิพย์ได้ลองไป"สำรวจ"ดูว่าที่ผมเล่ามานั้นเป็นจริงหรือไม่  ขณะถอดกายทิพย์ออกไปนะถ้าเป็นของจริงสามารถรู้ขณะออก ขณะเข้าร่างได้ว่าเป็นอย่างไร  พอชำนาญแล้วบางทีหลับตาพอสงบมิติของจิตก็เปลี่ยนแล้ว บางครั้งขณะขับรถจิตสงบระดับหนึ่งก็สามารถรู้เห็นเหตุการณ์บางอย่างได้ในชั่วขณะจิตเดียวเหมือนพลิกฝ่ามือ รู้ เห็น เข้าใจอยู่ที่จิตนั่นแหละ แล้วก็กลับมาอยู่ในสภาวะปกติเหมือนเดิม
              รวมทั้งท่านจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาเรียกว่า "ญาณ" เขาไม่ได้ตั้งชื่อมาเล่นๆนะครับ ไปดูสิภาคทิพย์มี "ญาณ"จริงๆ  ที่สำคัญก็คือหาทางหรือวิถีจิตของตัวเองให้เจอ ว่าวิถีจิตของตนเองเป็นแบบไหน แล้วปฎิบัติตามแนวนั้น ถ้าได้ทางของตัวเองแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ยาก  แต่ถ้าเราปฎิบัติเพื่ออยากรู้ อยากเห็น อยากนั่น อยากนี่ จะเข้าถึงเรื่องพวกนี้ได้ยากมาก จริงๆแล้วจะมีสิ่งมา"สอบ" หรือ "หลอก" นักปฎิบัติในหลายๆลักษณะโดยเราไม่รู้ตัว ถ้าหากผ่านได้ก็มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ ถ้าผ่านไม่ได้วิถีจิตก็วนเวียนอยู่แบบนั้น  ส่วนใหญ่แล้วสิ่งต่างๆมาทดสอบกิเลสเรานั่นแหละ บางครั้งในภาวะที่เรามีสติพร้อมเราก็อาจสู้กับกิเลสบางอย่างได้ พอไปถึงภาคที่เป็นทิพย์เราอาจจะแพ้กิเลสราบคาบเพราะจริงๆแล้วจิตเรายังสู้กิเลสไม่ได้จริง  ใครที่ผ่านได้ทั้งสองแบบผมคิดว่าปฎิบัติได้ดีแล้ว ครับ