2553-12-11

ความหมายของการทำบุญครบ 100 วันตาย

ทำไมต้องทำบุญ 100 วัน
การตายแบบนี้ ตายแล้วก็ไปรอลืมภพลืมชาติอยู่ในโลกของวิญญาณก่อน 108 วันตามเวลาของโลกมนุษย์ โบราณเขาจึงจัดให้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กัน 7 วันบ้าง 50 วันบ้าง 100 วันบ้าง เพราะคนโบราณเขารู้และมีประสบการณ์ เชื่อว่าวิญญาณของคนตายยังไม่ไปไหน เมื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ในช่วงนี้ วิญญาณจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลกัน เมื่อวิญญาณลืมภพลืมชาติไปแล้ว วิญญาณก็จะไปเสวยผลบุญหรือผลกรรมที่ได้กระทำกันไว้ต่อไป
คนที่ตายเพราะหมดภพหมดชาติหรือหมดกรรม เป็นการตายตามกรรมกำหนด วิญญาณช่วงที่ยังอยู่ในโลกวิญญาณเพื่อรอให้ลืมภพลืมชาติ จึงยังมีสิทธิและโอกาสที่จะไปเยี่ยมญาติพี่น้อง สามี ภรรยา ลูก หลานและเพื่อนฝูงได้ตามที่จิตต้องการ แม้การไปเยี่ยมเยียนครั้งสุดท้าย ฝ่ายมนุษย์จะต้องมองไม่เห็นทางวิญญาณ ก็สามารถทำเหตุบอกให้มนุษย์รู้ได้ว่าเขามาหาแล้ว เช่น มาปรากฎตัวให้เห็น หรือทำให้มีกลิ่นเหม็นหรือหอมไปกระทบจมูกของคนที่วิญญาณเขาต้องการไปหา
ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยได้สังเกตกันไหม เวลาที่มีญาติหรือคนที่เรารักตายไปใหม่ๆ แล้วเรามานั่งพูดถึงเขากันที่บ้าน ทั้งๆที่เขาตั้งศพสวดกันที่วัด และอยู่ๆก็มีกลิ่นเหม็นๆมากระทบจมูก นั่นแหละวิญญาณของคนที่กำลังพูดถึงเขามาหาแล้ว หากใครได้เจอปรากฎการณ์ดังกล่าว ให้รีบกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เขาเสียในตอนนั้นเลยจะดีมาก
เมื่อพูดกันมาถึงตรงนี้ อาจมีบางท่านสงสัยว่า ทำไมญาติของเขาตายไปแล้วไม่เห็นมาเข้าฝันเขาบ้างเลย เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวิญญาณของคนที่เราต้องการให้เขามาเข้าฝันเขาไปแล้วน่ะซิ จะไปผุดไปเกิดหรือไปรับผลบุญผลกรรมบนสวรรค์ นรกอะไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง
บางวิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิดหรือไปรับกรรมดี กรรมชั่วอะไรในนรกสวรรค์ แต่หลงล่องลอยไปในที่ต่างๆจนลืมถิ่นฐานของเขาก็มี เลยทำให้ไม่ได้มาบอกกล่าวหรือเข้าฝันเรา ดังนั้นท่านที่มีญาติพี่น้องหรือคนที่เราเคารพนับถือตายไปแล้วไม่มาเข้าฝันเราเลย ก็อย่าไปคิดอะไรมาก คิดเสียว่าท่านเหล่านั้นได้ไปเกิดหรือไปเสวยสุขบนสวรรค์ก็ได้ หากเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะไปลำบาก ก็สร้างบุญ ทำกุศลกรวดน้ำไปให้เขาบ่อยๆ ซิครับ
เห็นหรือยังว่าการตายก่อนกำหนดนั้น มันไม่ได้ทำให้หมดทุกข์หมดปัญหาเหมือนอย่างที่เข้าใจกัน มีแต่จะยิ่งเพิ่มปัญหา เพิ่มทุกข์ให้กับวิญญาณมากยิ่งขึ้นไปอีก ขนาดเรายังเป็นๆหรือมีชีวิตอยู่ เรายังลำบาก เรายังได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย ตอนเรายังไม่ตาย เรายังสามารถช่วยตัวเราให้ลดความทุกข์ต่างๆได้ เช่น ไปสร้างบุญทำกุศล รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เวลาหิวก็พอจะดิ้นรนหามากินเพื่อบรรเทาความหิวกระหายได้ แต่ตอนเราตายไปเป็นสัมภเวสีนี่สิ มันลำบากและอดอยากกว่าตอนที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่มาก
เรื่องของกรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แล้วแต่ภูมิปัญญาบารมีของใครจะละเอียด สามารถเข้าใจเรียนรู้ได้หมด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงการให้ผลของกรรมเปรียบเสมือน โคที่ถูกต้อนเข้าคอก ตัวแล้วตัวเล่าที่เข้าคอกไปจนถึงตัวสุดท้ายที่อยู่ปากคอก ครั้นถึงเวลาปล่อยวัวออกจากคอก วัวตัวที่มันอยู่ปากคอกก็จะได้ออกก่อน
กรรมของคนเราก็เหมือนกัน กระทำทุกอย่างไปไม่ว่าจะดีหรือจะเลว พอใกล้วินาทีสุดท้ายของชีวิต จิตไปผูกพันอยู่กับสิ่งใดหรือทำความชั่วความไม่ดีอะไรในตอนนั้น กรรมตัวที่กำลังจะตาย จะให้ผลก่อนหลังจากตายลง
ทางพระท่านว่าอสัญกรรมให้ผลก่อน ฉะนั้นคนที่ฆ่าตัวตายด้วยจิตเป็นทุกข์ จึงเชื่อว่าจิตที่เป็นทุกข์หรือมีแต่ความชั่วของเขานั้น ขณะวินาทีสิ้นใจเขาจะไม่เป็นสุขแน่ สรณะที่พึ่งก็ไม่มี แม้แต่ก่อนตายยังไม่หาที่พึ่ง แล้วอะไรล่ะจะเป็นที่พึ่งเป็นเสบียงในยามนั้น อนิจจา…วิญญาณต้องร่อนเร่พเนจร อดๆอยากๆและหิวโหยแสนสาหัส ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบได้
บางครั้งสัมภเวสีพวกนี้ ร่อนเร่พเนจรไปสร้างกรรมทำเวรเพิ่มขึ้นด้วยการเข้าไปแทรกสิงอยู่ในตัวของมนุษย์ที่วิบากกรรมกำลังส่งผลอยู่ให้ตกต่ำเดือดร้อนต่างๆนานา บางคนก็คลุ้มคลั่งเสียสติไปเลย มีไม่น้อยที่ไปคอยกลั่นแกล้งทำให้สามีภรรยาเขาเลิกกัน หรือไม่ก็พรางหูพรางตาให้เขาค้าขายไม่ดี หรือไม่ก็ไปทำให้มนุษย์เขาเจ็บป่วย รักษากันเท่าไรไม่หาย เป็นต้น
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ขณะมีชีวิตอยู่อย่าประมาท จงสร้างกุศลไว้ให้มาก เพราะมันจะเป็นเสบียงเดินทางและพาสปอร์ตไปสู่สวรรค์ชั้นดีๆเมื่อความตายมาถึงจะได้ไม่ลำบาก และไม่ต้องอดอยากหิวโหย
ชีวิตของคนเรามันช่างสั้นนัก เมื่อเกิดมาแล้วใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในโลกนี้ เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ต้องจากไป ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้เชยชม นอกจากชื่อเสียงคุณงามความดีและบุญกุศลที่สร้างสะสมเอาไว้ เมื่อเราเกิดมากับเขาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ควรทำคุณงามความดีและบุญกุศลเอาไว้ให้มากๆ นรกสวรรค์จะมีจริงหรือไม่จริงเราก็ยังไม่รู้ เพราะดวงตาของเรามืดบอดสนิทด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้
เพราะฉะนั้นการทำคุณงามความดี เราไม่ต้องไปหวังว่าไม่ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ เราทำความดี เพื่อความดี เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นพ้นจากความชั่วได้ก็พอ
ผลของการทำคุณงามความดี ทำให้ผู้ทำสบายใจ มีความสุข และที่สำคัญทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมมีความสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อานิสงส์ของการทำความดี เราจะเห็นได้ด้วยตาของเราเองภายในชีวิตนี้นี่แหละ
ในช่วงชีวิตของเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ต่างก็ได้ประสบพบเห็นดี ชั่ว ต่างๆมามากมาย ดีบ้าง เลวบ้าง ไปตามวิถีชีวิตของคนแต่ละคน ทุกคนต่างก็ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพบแต่สิ่งดีๆในชีวิตของตนเองทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากจะพบ อยากจะเจอสิ่งที่เลวร้ายในชีวิตของตนเอง แต่เราก็เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลพวงมาจากกฎแห่ง

กรรมทั้งสิ้น


ที่มา.. http://www.kittinun.com/view.asp?id=663